ไทยแลนด์
Wednesday 24th of April 2024
0
نفر 0

วันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ คือ วันมุบาฮะละฮ์

วันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ คือ วันมุบาฮะละฮ์ หะดีษมุบาฮะละฮ์ ฝ่ายซุนนี่รายงาน หะดีษที่ 1 ท่านสะอัด บิน อะบีวักกอศ เล่าว่า لَمَّا نَزَلَتْ هذِهِ الْآيَةُ : {.. فَقُلْ تَ
วันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ คือ วันมุบาฮะละฮ์

วันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ คือ วันมุบาฮะละฮ์

หะดีษมุบาฮะละฮ์
ฝ่ายซุนนี่รายงาน
หะดีษที่ 1 ท่านสะอัด บิน อะบีวักกอศ เล่าว่า


لَمَّا نَزَلَتْ هذِهِ الْآيَةُ : {.. فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ ..} دَعَا رَسُوْلُ الله (ص) عَلِيًّا وَ فَاطِمَةَ وَ حَسَنًا وَ حُسَيْنَا فَقَالَ : اللّهُمَّ هؤُلاَءِ أَهْلِيْ

 


เมื่อโองการนี้ได้ประทานลงมาคือ( ดังนั้นจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่าน...)ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้เรียกอาลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนมาแล้วกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ พวกเขาเหล่านี้คือครอบครัวของฉัน ดูซอฮิฮ์มุสลิม หะดีษที่ 4420


หะดีษที่ 2 ท่านอามิร บิน สะอัด บิน อะบีวักกอศ จากบิดาเขาเล่าว่า :


لَمَّا أَنْزَلَ اللهُ هذِهِ الْآيَةُ :{ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ وَنِسَاءَنَا وَنِسَاءَكُمْ } الآية دَعَا رَسُوْلُ الله صلى الله عليه وسلم عَلِيًّا وَ فَاطِمَةَ وَ حَسَنًا وَ حُسَيْنَا فَقَالَ : اللّهُمَّ هؤُلاَءِ أَهْلِيْ


เมื่อโองการนี้ได้ประทานลงมาคือ : ( ดังนั้นจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆของเรา และลูกของพวกท่าน และบรรดาสตรีของเราและบรรดาสตรีของพวกท่าน) บท อาลิ อิมรอน : 61
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้เรียกอาลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนมา แล้วกล่าวว่า : โอ้อัลลอฮ์ พวกเขาเหล่านี้คือครอบครัวของฉัน ดูซอฮิฮ์ติรมิซี หะดีษที่ 2932 ตรวจทานโดยเชคอัลบานี


เรื่องราว :


เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 9 มุบาฮะละฮ์มีหลักฐานระบุว่าเป็นเรื่องจริงอันเป็นความภาคภูมิใจของประชาชาติมุสลิม


1- เกร็ดประวัติศาสตร์ เรื่องเริ่มจากท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ส่งสารไปยังกษัตริย์และผู้ปกครองในดินแดนต่างๆเพื่อเชิญชวนสู่อิสลาม สารฉบับหนึ่งส่งมาที่เมืองนัจญ์รอน ประเทศซาอุดิอารเบีย เป็นที่อยู่อาศัยของชาวนะซอรอและยะฮูดี(คริสต์และยิว) อะบูฮาริษะฮ์(ดำรงตำแหน่งอุสกุฟคือพระสังฆนายก)แห่งเมืองนัจญ์รอนได้รับสารจากท่านนะบี อุสกุฟได้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียดจากนั้นสั่งประชุมทันที มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้นำศาสนา,นักการเมืองและผู้สูงศักดิ์ มติในที่ประชุมมีว่า ให้ส่งคณะทูตไปที่เมืองมะดีนะฮ์ เพื่อตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับการเป็นศาสดาของท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ที่ประชุมได้คัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิได้ 60 คนเพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้ โดยมี 3 บุคคลต่อไปนี้เป็นหัวหน้าคณะคือ 1- สังฆราชอุสกุฟ (ชื่ออะบูฮาริษะฮ์)


2-อัลอากิ๊บ(อับดุลมะซีห์) กุนซือเจ้าความคิด และ3-อัลอัยฮัม ผู้อาวุโสทั้งอายุและสมณศักดิ์


คณะทูตคริสเตียนเดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮ์ และได้เข้าพบท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ที่มัสญิดมะดีนะฮ์(ซึ่งขณะนั้นท่านนะบีพึ่งนมาซอัศริเสร็จ) ชาวคริสต์ทุกคนสวมชุดนักบุญ ทอจากผ้าไหม(ดีบาจญ์และหะรีร)สวมแหวนทอง แบกไม้กางเขนไว้ที่บ่างดงามตระการตา พวกเขาให้สลามท่านนะบี ท่านนะบีได้ตอบรับสลามและให้การต้อนรับพวกเขาอย่างสมเกียรติ พร้อมกับรับฮะดียะฮ์(ของกำนัล)ที่พวกเขานำมามอบให้ พอดีเวลาอัศริเป็นเวลาสวดมนต์ของศาสนาคริสต์ ชาวคริสต์จึงขออนุญาตท่านนะบี(ศ)สวดมนต์ในมัสญิด บรรดาซอฮาบะฮ์ต้องการขัดขวาง แต่ท่านนะบี(ศ)อนุญาตให้พวกเขาสวดได้ ท่านนะบี(ศ)บอกกับบรรดามุสลิมว่า ปล่อยให้พวกเขาทำเถิด หลังจากสวดมนต์เสร็จพวกเขาได้หันมาสนทนากับท่านนะบี(ศ) ท่านนะบี(ศ)ได้กล่าวกับสังฆราชอุสกุฟและท่านอากิ๊บว่า : จงเข้ารับอิสลามเถิด ทั้งสองตอบว่า เรารับอิสลามก่อนท่านนานแล้ว ท่านนะบีกล่าวว่า : มีบางสิ่งที่ขัดขวางท่านทั้งสองมิให้เข้ารับอิสลาม พวกท่านอ้างว่าพระเจ้ามีบุตร พวกท่านกราบไหว้ไม้กางเขน และทานเนื้อสุกร เขาทั้งสองตอบว่า : หากพระเยซูไม่ใช่บุตรของพระเจ้า แล้วใครเป็นบิดาของเขาล่ะ


อีกรายงานหนึ่งเล่าว่า ชาวคริสต์ทั้งสองได้ถามท่านนะบี(ศ)ว่า : ท่านจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับอีซา(พระเยซู) ท่านนะบี((ศ)เงียบไม่ตอบสิ่งใด จนอัลกุรอานได้ประทานลงมาว่า :


إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ


แท้จริงอุปมาเรื่องอีซาณ.อัลลอฮ์ เปรียบดั่งอาดัม พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน แล้วทรงตรัสกับเขาว่า จงเป็นแล้วเขาก็เป็นขึ้นมา (อาลิอิมรอน : 59 )

เมื่ออัลลอฮ์ตะอาลา ทรงสร้างอาดัมมาจากดินโดยไม่มีบิดามารดา แล้วทรงสร้างอีซามาจากมารดาฝ่ายเดียวโดยไม่มีบิดา ย่อมถือว่ามหัศจรรย์น้อยกว่าเรื่องของอาดัมอีก การสนทนายังดำเนินต่อไปจนคณะทูตแห่งนัจญ์รอนกล่าวกับท่านนะบี(ศ)ว่า เราไม่เห็นได้อะไรเพิ่มจากท่านเลยในเรื่องของผู้ที่เรานับถือ นอกจากแค่ความแตกต่างระหว่างพระเยซูกับอาดัมด้านมีแม่กับไม่มีพ่อแม่เท่านั้น เราจึงไม่ขอยอมรับข้อพิสูจน์ที่ท่านยกมา ดังนั้นอัลลอฮ์ตะอาลาจึงทรงประทานโองการที่ 61 ซูเราะฮ์อาลิ อิมรอนลงมา ท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)จึงท้าฝ่ายนะซอรอ(ชาวคริสต์)ให้มาทำมุบาฮะละฮ์กัน ซึ่งฝ่ายนะซอรอขอพลัดไปวันพรุ่งนี้ ตอนเช้าจนถึงดวงอาทิตย์ขึ้น นี่คือที่มาของ(โองการ มุบาฮะละฮ์ )
มีบางรายงานเล่าว่า : สังฆราชอุสกุฟถามท่านนะบี(ศ)ว่า ท่านจะว่าอย่างเกี่ยวกับพระเยซู ท่านนะบีตอบว่า เขาเป็นบ่าวคนหนึ่งของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงคัดเลือกเขามาเป็นศาสดา
สังฆราชอุสกุฟกล่าวว่า อีซามีบิดาหรือไม่ ท่านนะบีตอบว่า มารดาเขาไม่เคยสมรสกับใครแล้วจะมีบิดาได้อย่างไร อุสกุฟกล่าวว่า แล้วท่านมาบอกว่า เขาเป็นบ่าวคนหนึ่งได้อย่างไร ท่านเคยเห็นมนุษย์คนไหนที่เกิดมาโดยไม่มีบิดาบ้างไหม อัลลอฮ์ตะอาลาจึงทรงประทานโองการลงมาว่า


إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آَدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ (59) الْحَقُّ مِنْ رَبِّكَ فَلَا تَكُنْ مِنَ الْمُمْتَرِينَ (60) فَمَنْ حَاجَّكَ فِيهِ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْا نَدْعُ أَبْنَاءَنَا وَأَبْنَاءَكُمْ وَنِسَاءَنَا وَنِسَاءَكُمْ وَأَنْفُسَنَا وَأَنْفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَلْ لَعْنَةَ اللَّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ (61)


แท้จริงอุปมาของอีซานั้น ดังอุปมัยของอาดัม พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดิน และได้ทรงประกาศิตแก่เขาว่า จงเป็นขึ้นเถิด แล้วเขาก็เป็นขึ้น ความจริงนั้นมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ดังนั้นจงอย่าเป็นหนึ่งในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของอีซา(ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ท่านทั้งหลาย(ชาวคริสต์)จงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของเรา และตัวของพวกท่าน และเราจะมาวิงวอน (ต่อพระเจ้า)กัน ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้อัลลอฮ์ทรงลงโทษทัณฑ์แก่บรรดาผู้โกหก(อาลิอิมรอน : 59 – 61) ท่านนะบี(ศ)ได้อ่านโองการดังกล่าวให้ชาวคริสต์ฟัง และได้ท้าพวกเขาให้มาทำมุบาฮะละฮ์กัน


ท่านนะบีกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงแจ้งแก่ฉันว่า อะซาบโทษทัณฑ์จะลงมายังผู้อยู่กับความเท็จหลังการทำมุบาฮะละฮ์ เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกและฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด


ชาวคริสต์ได้ขอเลื่อนเวลาการทำมุบาฮะละฮ์ไปวันพรุ่งนี้ จากนั้นพวกเขาได้กลับไปปรึกษาหารือกัน สังฆราชอุสกุฟกล่าวกับพวกเขาว่า จงสังเกตุดูว่าพรุ่งนี้ หากมุฮัมมัด(ศ)พาลูกและครอบครัวของเขาออกมาสาบาญ พวกเจ้าจงอย่ามุบาฮะละฮ์กับเขา


รุ่งเช้าท่านนะบี(ศ)จูงมือท่านอาลีมา มีฮาซันและฮูเซนเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนท่านหญิงฟาติมะฮ์บุตรสาวเดินอยู่ข้างหลัง สังฆราชอุสกุฟเดินนำหน้าคณะมา พอเห็นท่านนะบี(ศ)เดินตรงมาหา เขาจึงถามว่า ท่านพาใครมามุบาฮะละฮ์ ท่าน(ศ)ตอบว่า นี่อาลี ลูกของลุงฉันและเป็นบุตรเขยของฉัน เขาเป็นบิดาของหลานชายทั้งสองของฉัน เขาคือคนที่ฉันรักมากที่สุด เด็กสองคนนี้เป็นบุตรของลูกสาวฉันที่เกิดจากอาลีทั้งสองเป็นที่รักยิ่งของฉัน ส่วนสตรีนางนี้ชื่อฟาติมะฮ์ นางเป็นสตรีที่มีเกียรติมากที่สุดและเป็นญาติที่สนิทที่สุดของฉัน สังฆราชอุสกุฟหันมามองอากิบและอับดุลมะซีห์ พลางกล่าวกับพวกเขาว่า จงดูเถิด มุฮัมมัด(ศ)พาบุตรกับครอบครัวของเขาออกมามุบาฮะละฮ์กับพวกเราเพื่อปกป้องสัจธรรมของเขา ชาวคริสต์หวั่นเกรงว่า จะเกิดเพทภัยกับพวกเขาและไม่กล้าทำมุบาฮะละฮ์ด้วย แต่ขอประนีประนอมกับฝ่ายมุสลิมโดยยอมจ่ายญิซยะฮ์(เครื่องราชบรรณาการ)แทน ท่านนะบี(ศ)ยอมรับข้อเสนอของฝ่ายคริสต์คือยอมรับญิซยะฮ์แทนจากนั้นชาวคริสต์จึงได้ลากลับไป


2- ทำมุบาฮะละฮ์ที่ไหน


ฝ่ายมุสลิมกับฝ่ายคริสเตียนได้ตกลงกันว่าจะไปมุบาฮะละฮ์กันที่นอกเมืองมะดีนะฮ์กลางทะเลทราย ท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ได้คัดเลือกบุคคลที่จะไปมุบาฮะละฮ์เพียงสี่คนเท่านั้นโดยไม่มีผู้ใดมีส่วนร่วมในการไปมุบาฮะละฮ์ครั้งนี้ ตามที่ซอฮิฮ์มุสลิมบันทึกไว้ว่า ท่านสะอัด บินอะบีวักกอศเล่าว่า เมื่อโองการนี้ได้ประทานลงมาคือ ( ดังนั้นจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่าน...)ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้เรียก อาลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนมาแล้วกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ พวกเขาเหล่านี้คือครอบครัวของฉัน ดูซอฮิฮ์มุสลิม หะดีษที่ 4420


สรุป เรื่องลงเอยลงด้วยการที่ฝ่ายคริสเตียนย่อมจ่ายญิซยะฮ์แทนการสาบาญมุบาฮะละฮ์อันเป็นมติบันทึกของนักประวัติศาสตร์ นักอธิบายอัลกุรอานและนักรายงานหะดีษ
3 - มุสลิมได้อะไรจากเรื่องมุบาฮะละฮ์


1-ได้พิสูจน์ว่ามุฮัมมัด(ศ)เป็นนะบี(ศาสดา)จริง เพราะทั้งฝ่ายมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมต่างรายงานว่าชาวคริสต์แห่งนัจญ์รอนไม่ยอมทำมุบาฮะละฮ์ด้วย แต่ขอจ่ายญิซยะฮ์แทน


2-ฮาซันและฮูเซนเป็นบุตรชายของท่านนะบี(ศ)ในทางเชื้อสาย( نَسَبٌ ) แม้ว่าตามจริงบุคคลทั้งสองจะเป็นบุตรของท่านหญิงฟาติมะฮ์ก็ตาม สาเหตุเพราะท่านรอซูลลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า


اِبْنَايَ هَذَانِ : اَلْحَسَنُ وَ الْحُسَيْنُ : سَيِّدَا شَبَابِ أَهْلِ الْجَنَّةِ وَ أَبُوْهُمَا خَيْرٌ مِنْهُمَا


ลูกชายของฉันสองคนนี้คือฮาซันและฮูเซนคือหัวหน้าบรรดาชายหนุ่มแห่งชาวสวรรค์ และบิดาของเขาทั้งสองนั้นประเสริฐกว่าเขาทั้งสอง


สถานะหะดีษ : ซอฮิฮ์ ดูซอฮีฮุลญามิอิซ-ซอฆีร วะซิยาดะฮ์ หะดีษที่ 47 โดยเชคอัลบานี


3-โองการมุบาฮะละฮ์นับเป็นความประเสริฐอีกประการหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์พิเศษ ที่มุสลิมมิอาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้เลย เพราะท่านนะบี(ศ)ได้พาบุคคลทั้งสี่เท่านั้นออกไปมุบาฮะละฮ์


การเจาะจงอะฮ์ลุลบัยต์พิเศษที่ท่านนะบี(ศ)พาออกไปมุบาฮะละฮ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่นะบีจะพาใครไปก็ได้ แต่เป็นการคัดเลือกของอัลลอฮ์อย่างมีพระประสงค์และมีเหตุผลอันลึกซึ้ง


4- กล่าวได้ว่า หลังจากท่านนะบีสิ้นชีพ ท่านอาลีคือบุคคลประเสริญที่สุด


5- โองการนี้ได้บอกให้รู้ว่า การเผยแผ่ศาสนา การดูแลเรื่องการเมืองและการปกครอง ยังตกเป็นภารกิจของอะฮ์ลุลบัยต์คอศที่ทำหน้าที่สืบต่อจากท่านนะบีไม่ใช่ในฐานะญาติสนิท แต่ในฐานะที่อัลลอฮ์ทรงเลือกสรรพวกเขาให้มาทำหน้าที่สำคัญอันนี้ ดังที่ท่านรอซูลลุลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวกับท่านอาลีว่า :


أَنْتَ مِنِّى بِمَنْزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلاَّ أَنَّهُ لاَ نَبِىَّ بَعْدِى


ท่านกับฉันมีฐานะเหมือนฮารูนกับมูซา ยกเว้นจะไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้ว ดูซอฮิฮ์มุสลิม หะดีษที่ 6370


6- หากเราสร้างความเข้าใจเนื้อหาของคำว่า ตัวของเรา - أَنْفُسَنَا ในโองการมุบาฮะละฮ์ จะตระหนักได้ทันทีว่า โองการนี้ได้พิสูจน์ถึงการเป็นผู้นำของท่านอาลี เพราะศัพท์คำนี้นับว่าท่านอาลีคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพสมบูรณ์แบบเหมือนท่านนะบีทุกประการ ยกเว้นตำแหน่งศาสดาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ท่านอาลีได้แสดงความคิด จิตวิญญาณ การกระทำทุกอย่างซึ่งคล้ายคลึงกับท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ทั้งในยามที่ท่านมีชีวิตหรือยามที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้วได้ใกล้เคียงที่สุด


หลังจากท่านอุมัรสิ้นชีพ ในวันที่คณะชูรอได้ประชุมหาคอลีฟะฮ์คนที่ 3 ท่านอาลีได้ถามคณะที่ประชุมว่า : ขอให้พวกท่านสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ในหมู่พวกท่านมีใครสักคนที่อัลลอฮ์ทรงทำให้เขาเปรียบเหมือนตัวตนของท่านนะบีนอกจากฉันยังมีอีกไหม พวกเขาตอบว่า โอ้อัลลอฮ์ ไม่มี


أَنْشُدُكُمْ بِاللَّهِ ، هَلْ فِيكُمْ أَحَدٌ جَعَلَهُ اللَّهُ نَفْسَ النَّبِيّ، وَأَبْناَءُهُ أبْناَءَهُ، وَنِساَءُهُ نِساَءَهُ غَيْرِيْ قاَلُوْا: اللّهُمَّ لاَ


7- ถ้าสังเกตคำว่า สตรีของเรา – نِسَاءَنَا ให้ดี เราจะพบว่าท่านนะบี(ศ)ไม่ได้พาภรรยาคนใดไปหรือแม้กระทั่งซอฮาบะฮ์หญิงคนใดในมะดีนะฮ์ท่านก็ไม่ได้พาไปทั้งสิ้น ยกเว้นท่านหญิงฟาติมะฮ์เพียงคนเดียวเท่านั้น นับได้ว่านี่คือความพิเศษอีกประการหนึ่งของท่านหญิงฟาติมะฮ์ โองการมุบาฮะละฮ์จึงเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่า อาลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนคืออะฮ์ลุลบัยต์คอศ(พิเศษ)


4- อะฮ์ลุลบัยต์คอศผู้ถูกอธรรม


ถึงแม้ว่าอัลลอฮ์ตะอาลาจะทรงยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์คอศไว้ในอัลกุรอาน แต่ว่าพวกเขาก็ยังถูกอธรรมมาโดยตลอด เมืองมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย นับได้ว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของนะบีมุฮัมมัดและอะฮ์ลุลบัยต์คอศ(อ)ในเมืองนี้มีปูชนียสถานเป็นประจักษ์พยานทางประประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึงสถานภาพอันสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์พิเศษของนะบีมุฮัมมัด(ศ) ปรากฏว่าเมื่อพวกวาฮะบีได้เข้ามายึดครองดินแดนฮิญาซแห่งนี้ พวกเขาได้ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไปมากมาย จนทำให้ความรู้เหล่านี้สูญหายไป เมื่อมุสลิมเดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ที่บัยตุลเลาะฮ์ และไปซิยารัตที่มัสญิดมะดีนะฮ์อันเป็นสุสานของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) หากเราเปิดดูแผนที่เมืองมะดีนะฮ์ฉบับเก่าๆ จะพบว่าในแผนที่ฉบับเก่าได้บอกตำแหน่งว่า มัสญิดุลมุบาฮะละฮ์ อยู่ตรงไหน


แต่ปัจจุบันแผนที่ฉบับใหม่ได้เปลี่ยนชื่อ มัสญิดมุบาฮะละฮ์ใหม่เป็นมัสญิดบะนีมุอาวียะฮ์หรือมัสญิดอิญาบะฮ์ มัสญิดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของบาเกี๊ยะอ์ บนถนนมาลิกไฟซ็อล สิ่งที่น่าแปลกใจคือ สถานที่แห่งนี้ถูกสั่งห้ามเข้าไปข้างใน ยกเว้นเวลานมาซเท่านั้น ทางราชการซาอุฯได้อ้างว่า เหตุที่สั่งห้ามเข้าเพราะ มีคนมาทำชีรีกในสถานที่แห่งนี้ต่างๆนานา พฤติกรรมของพวกวาฮะบีที่ปิดบังสถานที่ๆอัลลอฮ์ทรงให้ท่านนะบีกับอะฮ์ลุลบัยต์พิเศษของท่าน ได้สำแดงสัจธรรมอิสลามต่อชาวคริสต์แห่งนัจญ์รอนเป็นฝ่ายโมฆะไป มันคงไม่มีเหตุผลใดดีไปกว่าความตะอัศศุบ ที่ไม่ต้องการเปิดเผยฐานะอันสูงส่งของครอบครัวท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ผู้บริสุทธิ์ให้ชาวโลกได้รับรู้ ดังนั้นวันมุบาฮะละฮ์ ตรงกับวันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์ เป็นอีกอีดหนึ่งของมุสลิมที่ควรภูมิใจ เพราะเป็นวันที่สารอิสลามได้รับชัยชนะทางจิตวิญญาณ เป็นวันที่อิสลามได้แสดงสัจธรรมอันบริสุทธิ์แก่ชาวยะฮูดีและนอซอรอ
ภาพมัสญิดมุบาฮะละฮ์ สถานที่ๆท่านนะบีมุฮัมมัดได้พาอะฮ์ลุลบัยต์คอศออกมามุบาฮะละฮ์กับชาวนะซอรอแห่งเมืองนัจญ์รอน


source : alhassanain
0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

ทำไมต้องกล่าวบิสมิลลาฮ์?
ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ...
วันสำคัญในเดือนรอบีอุลเอาวัล
อะไรคือมุบาฮะละฮ์?
...
อรรถาธิบายซูเราะฮ์ อัลฆอชิยะฮ์
...
รอมฎอนคือเดือนแห่งอัลกุรอาน
...
ความสำคัญของบิสมิลลาฮ์ ...

 
user comment