ไทยแลนด์
Friday 29th of March 2024
0
نفر 0

ชีวประวัติอิมามฮะซัน บุตร อะลี (อ.)

ชีวประวัติอิมามฮะซัน บุตร อะลี (อ.) การถือกำเนิดและเจริญวัย ในวันที่ 15 เดือนเราะมะฏอน ซึ่งเป็นเดือนที่อัล-กุรอานประทานมา ท่านอิมามฮะซัน ได้ถือกำเนิดลืมตาดูโลก ณ บ้านหลังเล็ก ๆ และได้รับการเลี้ยงดูมาในอ้อมแขนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ ) ผู้เป็นตา ท่านอิมามอะลี (อ.) ผู้เป็นบิดา และท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ผู้เป็นมารดาของท่านเว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม
ชีวประวัติอิมามฮะซัน บุตร อะลี (อ.)

ชีวประวัติอิมามฮะซัน บุตร อะลี (อ.)

การถือกำเนิดและเจริญวัย

ในวันที่ 15 เดือนเราะมะฏอน ซึ่งเป็นเดือนที่อัล-กุรอานประทานมา ท่านอิมามฮะซัน ได้ถือกำเนิดลืมตาดูโลก ณ บ้านหลังเล็ก ๆ และได้รับการเลี้ยงดูมาในอ้อมแขนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ ) ผู้เป็นตา ท่านอิมามอะลี (อ.) ผู้เป็นบิดา และท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ผู้เป็นมารดาของท่านเว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ศาสดามูฮัมมัด รักฮะซันผู้เป็นหลานชายท่านมาก ท่านเคยกล่าวว่า “เขาคือบุตรของฉัน และเขาคือกลิ่นหอมของฉันที่มาจากโลกนี้”

บรรดามุสลิมมักจะเห็นท่านศาสดาให้ฮะซันขึ้นขี่คอของท่านเสมอ แล้วกล่าวว่า นี่คือประมุขคนหนึ่ง และหวังว่า พระเจ้าจะทรงประนีประนอมคนมุสลิมสองกลุ่มได้เนื่องด้วยเขา หลังจากนั้น ท่านก็วิงวอนขอพรต่อพระเจ้าเสมอว่า “โอ้ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า แท้จริงข้าพระองค์รักเขา ดังนั้น ขอให้พระองค์ทรงรักเขา และทรงรักผู้ที่รักเขาด้วยเถิด”

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวเสมอว่า “ฮะซัน และฮุซัยนฺ คือประมุขของบรรดาชายหนุ่มชาวสวรรค์”

วันหนึ่งท่านศาสดากำลังนมาซอยู่ในมัสญิด ขณะที่ท่านกำลังก้มกราบแสดงความเคารพภักดี ฮะซันได้ปีนขึ้นไปบนหลังแล้วนั่งบนคอของท่าน ท่านศาสดาจึงต้องก้มศีรษะอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฮะซันลงไป เมื่อท่านนมาซเสร็จ มีบางคนกล่าวว่า “โอ้ ท่านศาสดา แท้จริงท่านได้ปฏิบัติต่อเด็กอย่างที่ไม่เคยมีใครปฏิบัติมาก่อนเลย” ท่านศาสดาจึงตอบว่า “แท้จริงหลานคนนี้คือกลิ่นหอมของฉัน เป็นบุตรของฉัน เป็นประมุขคนหนึ่งและหวังว่าอัลลอฮฺจะทรงประนีประนอมระหว่างมุสลิมทั้งสองฝ่ายได้เนื่องด้วยเขา”
มารยาทที่สมบูรณ์

ท่านฮะซันเคยเดินไปมัสญิดพร้อมฮุซัยนฺน้องชาย ทั้งสองเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังทำน้ำนมาซ แต่เขาทำไม่ถูกต้อง ท่านฮะซันคิดหาวิธีการเพื่อจะแนะนำการทำน้ำนมาซที่ถูกต้องแก่ชายชราผู้นั้น โดยไม่เสียมารยาท ดังนั้น ทั้งสองจึงเข้าไปหาชายชราผู้นั้น และทำทีว่าทั้งสองคนขัดแย้งกัน โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่า ทำน้ำนมาซไม่ถูกต้อง แล้วทั้งสองคนก็พูดกับชายชราว่า “ท่านโปรดตัดสินระหว่างเราสองคนด้วยเถิด” แล้วทั้งสองก็ลงมือทำน้ำนมาซให้ชายคนนั้นดู

ชายชราได้สังเกตวิธีการทำน้ำนมาซ ก็เข้าใจในจุดประสงค์ของทั้งสองคนทันทีจึงพูดยิ้ม ๆ ออกมาว่า “เปล่าเลย ท่านทั้งสองต่างก็ทำน้ำนมาซถูกต้องด้วยกัน” แล้วเขาก็ชี้ไปที่ตัวเอง พลางกล่าวว่า “แต่ชายแก่คนนี้ซิยังโง่อยู่ เราต่างหากที่ทำน้ำนมาซไม่ถูกต้อง และเราก็ได้เรียนรู้จากท่านทั้งสอง”

สาวกคนหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เห็นท่านศาสดาให้ท่านฮะนและฮุซัยนฺขึ้นขี่คอของท่าน สาวกคนนั้นได้กล่าวว่า “อูฐที่ดีที่สุดคืออูฐของท่านทั้งสอง”

 ท่านศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “และคนขี่ที่ดีที่สุดก็คือเขาทั้งสอง”
ความยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้า

ท่านฮะซัน (อ.) เป็นผู้ที่หมั่นเพียรในการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด ในสมัยของท่าน ท่านไปบำเพ็ญฮัจญ์ด้วยการเดินเท้าเปล่าถึง 25 ครั้งด้วยกัน

เมื่อท่านเริ่มลงมือทำน้ำนมาซและจะนมาซ สีหน้าของท่านก็ซีดเผือด เนื่องจากความเกรงกลัวต่อพระเจ้า ท่านเคยกล่าวว่า “เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง สำหรับคนที่ยืน ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้อภิบาลแห่งบัลลังก์ที่จะต้องมีอาการเกรงกลัวจนหน้าซีด ประหนึ่งว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง”

เมื่อท่านไปถึงประตูมัสญิด ท่านได้แหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “โอ้พระผู้ทรงไว้ซึ่งความดี บัดนี้ผู้ทำความผิดได้มาหาพระองค์แล้ว ดังนั้น ขอให้พระองค์ทรงขจัดความเลวที่มีอยู่ในตัวฉันออกไปด้วยความดีงามที่มีอยู่ ณ พระองค์ด้วยเถิด โอ้พระผู้ทรงเกียรติ”
ความสุขุมคัมภีร์ภาพ

วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านฮะซันกำลังเดินทาง ท่านได้พบกับชาวซีเรียคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เกลียดชั่ง อะฮฺลุลบัยตฺ อย่างยิ่ง ชายคนนั้นได้บริภาษด่าทอ และลบหลู่ท่านฮะซันอย่างรุนแรง แต่ท่านก็ยังวางเฉยมิได้ตอบโต้เขาแต่ประการใด จนกระทั่งเขาหยุดไปเอง เมื่อเขาหยุดแล้ว ท่านฮะซัน (อ.) จึงยิ้ม แล้วพูดกับเขาหลังจากที่ได้ให้สลามว่า

“โอ้ท่านผู้อาวุโส ฉันเชื่อแน่ว่าท่านต้องเป็นคนที่มาจากต่างถิ่น ถ้าท่านจะขออะไรจากเรา เราก็ยินดีที่จะมอบให้ท่าน หรือถ้าหากท่านจะขอคำชี้แนะจากเรา เราก็จะให้การแนะนำแก่ท่าน หรือถ้าว่าท่านหิว เราก็จะเลี้ยงดูท่านจนอิ่มหนำ และถ้าท่านไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ เราก็จะให้เสื้อผ้าแก่ท่านเพื่อจะได้สวมใส่ และถ้าท่านเป็นผู้ขัดสนเดือดร้อนเราก็จะให้ท่านมีอย่างเพียงพอ หรือถ้าหากท่านเป็นคนที่ถูกขับไล่ไสส่งมา เราก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ และถ้าหากท่านมีความเป็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราก็จะช่วยเหลือปลดปล่อยให้แก่ท่านได้”

ชาวซีเรียคนนั้นรู้สึกประหลาดใจในคำตอบของท่านฮะซัน และเข้าใจได้ทันทีว่า มุอาวิยะฮฺเป็นคนหลอกลวงประชาชน และได้เผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับท่านอะลี (อ.) ตลอดถึงบรรดาลูก ๆ ของท่าน ในหมู่ประชาชนทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

ชายคนนั้นรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาร้องไห้ แล้วได้กล่าวว่า “ฉันขอปฏิญาณตนว่า แท้จริงท่านคือเคาะลีฟะฮฺแห่งพระเจ้า บนหน้าแผ่นดินของพระองค์ และแท้จริงพระเจ้า ทรงรอบรู้ว่าจะทรงจัดการกับสาส์นของพระองค์อย่างไร แน่นอนที่สุดแต่ก่อนนี้ ทั้งที่และบิดาของท่านเป็นที่เกลียดชังที่สุดสำหรับฉันในบรรดามนุษย์ที่อัลลอฮฺทรงสร้างมา แต่บัดนี้ ท่านเป็นที่รักของฉันมากที่สุดในบรรดามนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมา”

ชายคนนั้นได้เดินไปกับท่านฮะซันจนถึงบ้าน แล้วได้อยู่ในฐานะแขกคนหนึ่งจนกระทั่งเขาได้เดินทางจากไป

ชายคนหนึ่งได้ขอบริจาคจากท่านฮะซัน (อ.) แล้วท่านก็มอบเงินให้กับชานคนนั้นเป็นจำนวน 50,000 ดิรฮัม กับ 500 ดินาร

มีชาวอาหรับคนหนึ่งมาหา ท่านฮะซัน (อ.) ท่านกล่าวกับคนรับใช้ว่า “จงนำเอาเงินในหีบส่งมอบให้เขาไปเถิด” แล้วชายคนนั้นก็ได้พบว่าเงินที่มีอยู่ในหีบมีมากถึง 20,000 ดินาร ขณะที่ท่านฮะซัน (อ.) กำลังเดินเวียนรอบ ๆ อัล กะอ์บะอ์อยู่นั้น ท่านได้ยินชายคนหนึ่งวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺว่า ให้พระองค์ประทานเงินจำนวน 10,000 ดิรฮัม ให้แก่เขา แล้วท่านฮะซันได้กลับไปที่บ้านของท่าน หลังจากนั้นท่านก็ได้ส่งเงินจำนวน 10,000 ดิรฮัม ไปให้แก่ชายคนนั้น มีชายอีกคนหนึ่งมาหา แล้วได้กล่าวกับท่านว่า “ฉันได้ซื้อทาสมาคนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็วิ่งหนีจากฉันไปเสีย” ท่านฮาซันจึงได้มอบเงินจำนวนเดียวกับราคาของทาสคนนั้นให้แก่เขาไป (ประหนึ่งท่านท่านได้ปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระแล้ว)

ตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ

เมื่อท่านอะลี (อ.) ได้กลับไปสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าในวันที่ 21 ของเดือนเราะมะฎอนอันจำเริญ โดยสาเหตุที่ท่านได้ถูก “อับดุรเราะฮฺมาน บุตรของ มุลญิม” ซึ่งเป็นพวกนอกรีดลบสังหาร แล้วท่านฮะซัน (อ.) บุตรชาย ก็ได้เข้ารับตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺสืบต่อแทน โดยบรรดามุสลิมได้ให้สัตยาบันแก่ท่าน ท่านฮะซันทำหน้าที่เป็นผู้นำประชาชาติ และรับผิดชอบในตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ เมื่อท่านมีอายุได้ 37 ปี

เช้าวันแรก ท่านได้ขึ้นกล่าวคำปราศรัยบนมิมบัรอย่างเป็นทางการ โดยประกาศเจตนารมณ์ที่จะสานต่อแนวทางการเมืองของบิดาที่ได้ปกครอง โดยยึดหลักความยุติธรรม และความเสมอภาค อีกทั้งขจัดแผนการร้ายต่าง ๆ ของบรรดาผู้ที่หันเหออกจากแนวทางอิสลาม ดังมีใจความตอนหนึ่งว่า

“แน่นอนที่สุด บุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอันยาวนานจะล้ำหน้าไปกว่าเขา หรือทัดเทียมกับเขาในการทำงาน ได้สิ้นชีวิตไปแล้วเมื่อคืนนี้ แน่นอนที่สุด เขาเคยต่อสู้เสียสละร่วมกับท่านศาสดาจนนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความกล้าหาญชาญชัย กล่าวคือ เขาเอาตัวเข้าปกป้องท่านศาสดา ในขณะที่ศาสดามอบธงของท่านให้เขาถือ ญิบรออีลได้ยืนหยัดเคียงข้างเขาทางด้านขวามือ และมีกาอีลอยู่ทางด้านซ้ายมือ เขาจะไม่กลับมาจากสนามรบจนกว่า อัลลอฮฺจะให้เขาได้รับชัยชนะ แน่นอนที่สุดเขาได้วายชนม์ไปในคืนที่ผ่านมา อีซา บุตรของมัรยัมได้ถูกยกขึ้นไปสู่ฟากฟ้า และเป็นคืนที่ยูชะอ์ บิน นูน (ตัวแทนของศาสดามูซา (อ.)) ได้เสียชีวิต เขามิได้ทิ้งทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดไว้เลยนอกจากเงิน 700 ดิรฮัม ซึ่งฉันได้สะสมเอาไว้ ฉันต้องการจะเอาเงินจำนวนนี้ จ้างคนรับใช้ไว้ที่ครอบครัวของเขา 1 คน”

หลังจากนั้น ท่านฮะซันร้องไห้ ประชาชนก็ร้องไห้ตามไปด้วย ท่านได้กล่าวต่อไปว่า “ฉันคือบุตรของ อัล บะชีร (ผู้แจ้งข่าวดีหมายถึงท่านศาสดา) ฉันคือ บุตรของ อัน นะซีร (ผู้ตักเตือนหมายถึงท่านศาสดา) ฉันคือ บุตรของผู้ประกาศศาสนาเพื่อพระเจ้า โดยการอนุมัติของพระองค์ ฉันคือ บุตรของผู้ให้แสงสว่างอันบรรเจิดจ้า ฉันคือ คนหนึ่งจากอะฮฺลุลบัยตฺ ที่พระเจ้าทรงขขัดความโสมมออกไปจากพวกเรา และทรงชำระขัดเกลาพวกเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ฉันคือ คนหนึ่งจากอะฮฺลุลบัยตฺ ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้จงรักภักดี กับพวกเรา ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่มีอยู่ในคัมภีร์ของพระองค์ ดังโองการที่กล่าวว่า

จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด) ฉันมิได้ขอรางวัลใด ๆ จากพวกท่านสำหรับงานนี้ เว้นแต่ความจงรักภักดีในญาติสนิท และผู้ใดที่ได้แสวงหาความประการหนึ่ง เราจะเพิ่มให้แก่เขาซึ่งความดีต่าง ๆ (อัล-กุรอาน บท อัช ชูรอ / 22)

ท่านฮะซัน (อ.) ได้อธิบายว่า ความดี ในโองการนี้หมายถึงความจงรักภักดีต่อพวกเรา บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ

อัลอุลลอฮฺ บุตรของ อับบาส ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า “ประชาชนทั้งหลายจงฟัง นี่คือบุตรชายของราชสีห์ที่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน เขาเป็นทายาทจากอิมามผู้บริสุทธิ์ของพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงให้สัตยาบันแก่เขาเถิด”

ประชาชนได้ให้การยอมรับต่อท่าน และกล่าวว่า “ท่านเป็นที่รักของพวกเรามากที่สุด และสิทธิของท่านคือความจำเป็นเหนือพวกเราที่ต้องปฏิบัติตาม” และคนเหล่านั้นต่างเข้าไปมอบสัตยาบัน ในตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้แก่ท่าน
การให้สัตยาบันของประชาชนกับอิมามฮะซัน

หลังจากอิมามอะลี (อ.) ถูกฟันที่มัสญิดกูฟะฮฺ ท่านล้มเจ็บทันที จึงสั่งให้อิมามฮะซัน (อ.) นำนมาซ และในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญของท่าน ท่านสั่งเสียว่า

โอ้บุตรชายของฉัน หลังจากพ่อจากไปแล้ว เจ้าคือผู้สืบตำแหน่ง และตัวแทนของพ่อ ฮุซัยนฺ มุฮัมมัด และบุตรคนอื่น ๆ ตลอดจนหัวหน้าชีอะฮฺทั้งหลายต่างปฏิญาณปฏิบัติตามคำสั่งเสียของ อิมามอะลี หลังจากนั้นท่านมอบดาบ และคัมภีร์แก่อิมามฮะซัน พร้อมทั้งกล่าวว่า   โอ้ลูกรัก ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) สั่งเสียว่า ให้พ่อแต่งตั้งเจ้าเป็นตัวแทน และให้มอบดาบพร้อมทั้งคัมภีร์แก่เจ้า ดั่งที่ ท่านศาสดาได้แต่งตั้งพ่อและมอบดาบและคัมภีร์แก่พ่อ ท่านสั่งให้พ่อกระทำเช่นนี้กับเจ้า พ่อขอสั่งเสียลูกว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต จงมอบสิ่งนี้ให้กับน้องชายของเจ้า ฮุซัยนฺ หลังจากนั้นอิมามฮะซันเดินทางไปมัสญิด ท่านกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้คน ถึงความเศร้าโศกอันยิ่งใหญ่ การชะฮีดของบิดาของท่าน อะลี (อ.) เวลานั้นหลังจากการสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกร ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แล้ว ท่านกาล่าวว่า “แน่นอนที่สุด บุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอันยาวนานจะล้ำหน้าไปกว่าเขา หรือทัดเทียมกับเขาในการทำงาน

ท่านกล่าวถึง ความกล้าหาญ ความเสียสละ และความอุตสาหะของท่านอิมามอะลี ที่ได้ทุ่มเทให้แก่อิสลาม ชัยชนะในสงครามต่าง ๆ ที่อิมามนำมาสู่อิสลาม อิมามอะลีเหลือทรัพย์ก่อนชะฮีดเพียง 700 ดิรฮัม เป็นส่วนแบ่งที่ได้รับจากเงินกองคลังอิสลาม ซึ่งท่านเตรียมไว้เพื่อจัดหาคนรับใช้ช่วยทำงานภายในครอบครัว

เวลานั้น อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของอับบาซ ยืนชึ้นและกล่าวปลุกให้ผู้คนให้สัตยาบันกับอิมามฮะซัน (อ.) ประชาชนหลั่งไหลให้สัตยาบันกับอิมามอย่างแน่นถนัด ซึ่งตรงกับวันที่อิมามอะลี บิดาของท่านชะฮีด ประชาชนจากกูฟะฮฺ มะดีนะฮฺ อิรัก ฮิญาซ และเยเมนต่างสมัครใจให้สัตยาบันกับอิมาม ยกเว้นมุอาวิยะฮฺที่ยังคงดื้อดึง และแสดงความจองหองเหมือนกับที่กระทำกับอิมามอะลี (อ.) บิดาของท่าน หลังจากประชาชนให้สัตยาบันแล้ว ท่านกล่าวเชิญชวนให้พวกเขาปฏิบัติตามอะฮฺลุลบัยตฺของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ผู้มีฐานะภาพเคียงข้างกับอัล-กุรอาน ดังที่ท่านศาสดากล่าวไวในฮะดีซ ซะเกาะลัยน์ อิมามเชิญชวนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการลวงล่อของซาตานมารร้าย และออกห่างจากคุณสมบัติอันเลวทรามของมัน วิถีชีวิตของท่านอิมามฮะซันในกูฟะฮฺคือ จุดศูนย์รวม และเป็นความหวังสำหรับประชาชน อิมามฮะซันมีคุณสมบัติครบทุกประการสำหรับการเป็นผู้นำ อันดับแรกท่านเป็นบุตรของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ความรักและมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของความศรัทธา อีกประการที่จำเป็นต้องให้สัตยาบันกับท่านเนื่องจาก ท่านเป็นผู้บังคับบัญชา อิมาม (อ.) สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยแก่สังคม โดยแต่งตั้งผู้ปกครองประจำเขตหัวเมืองต่าง ๆ แต่เวลาผ่านไปได้ไม่นานนักประชาชนเริ่มเห็นแล้วว่า อิมามฮะซัน มิได้ผิดแปลกไปจากบิดาของท่านแม้แต่น้อย ความยุติธรรมคือหัวใจหลักในการปกครองของอิมามฮะซัน (อ.) บางกลุ่มเริ่มรับหลักการของอิมามไม่ได้พวกเขาเริ่มคิดก่อกบฏ วางแผนการร้ายต่าง ๆ ในที่สุดพวกเขาเขียนจดหมายถึงมุอาวิยะฮฺเชิญชวนให้ยกทัพมายังกูฟะฮฺ และรับปากว่าเมื่อกองทัพของมุอาวิยะฮฺมาถึงกูฟะฮฺเมื่อใด พวกเขาจะจับตัวอิมามฮะซันส่งมอบให้มุอาวิยะฮฺทันที หรือสังหารอิมามอย่างฉับพลัน

พวกนอกรีต เคาะวาริจญ์ ร่วมมือกันต่อต้านรัฐบาลของวงศ์วานฮาชิม และตั้งตนเป็นปรปักษ์มาตั้งแต่สมัยที่ท่านอิมามอะลี (อ.) ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงให้ความร่วมมือกับกลุ่มกบฏอย่างเต็มที่

กลุ่มที่ต่อต้านกลุ่มกบฏคือ บรรดาชีอะฮฺของอะลี (อ.) และบางกลุ่มจากพวกอพยพ และพวกอันซอรที่เดินทางมายังกูฟะฮฺ และตั้งถิ่นฐานอยู่ที่กูฟะฮฺ คนกลุ่มนี้มีความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะก่อนการแต่งตั้ง หรือหลังการแต่งตั้งศาสดา พวกเขาแสดงตนเสมอตนเสมอปลายมาโดยตลอด เมื่ออิมามเห็นความจองหองของมุอาวิยะฮฺเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน จึงส่งจดหมายเชิญให้มาภักดีกับท่าน แต่มุอาวิยะฮฺไม่ยอม และโต้ตอบด้วยการแสดงความดื้อดึงว่า เรื่องการปกครองฉันมีประสบการณ์สูงกว่าท่าน ฉันผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า ที่สำคัญฉันอาวุโสกว่าท่าน จะให้คนอย่างฉันปฏิบัติตามเจ้ากระนั้นหรือ คงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

กระนั้นบางครั้งมุอาวิยะฮฺ เขียนไว้ในจดหมายของตน ถึงการยอมรับสารภาพในความดีของอิมามว่า หลังจากฉันตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺเป็นของเจ้า เนื่องจากเจ้าดีกว่าใครทั้งสิ้น แต่จดหมายฉบับสุดท้ายที่ตอบอิมามโดยผ่านผู้ถือสาส์นของท่าน เขาเขียนว่า เจ้าจงลืมเสียเถิด ระหว่างเรากับเจ้าไม่มีสิ่งใดต้องเจรจากันอีก นอกจากคมดาบเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ บรรดาศัตรูรายรอยมุอาวิยะฮฺ ได้แสดงท่าความแข็งกร้าวกับอิมามทันที เขาเป็นผู้เริ่มต้นการก่อการร้าย ใช้เล่ห์เพทุบายทุกอย่าง หยิบฉวยโอกาส สร้างสถานการณ์ที่ไม่เป็นจริงขึ้น แสดงท่าทีฝ่าฝืน เขาเริ่มใช้อุบายในการซื้อและติดสินบนแม่ทัพนายกองของอิมาม  โกหกต่าง ๆ นานา เพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของผู้คน เหล่าทหารของมุอาวิยะฮฺล้วนหิวกระหายทรัพย์สินเงินทอง ตลอดทหารฝ่ายอิมามจำนวนมากมายก็ถูกซื้อไปเป็นฝ่ายมุอาวิยะฮฺ ดังกล่าวไปแล้วข้างต้น ส่วนทหารที่เหลือ และยืนหยัดกับอิมามมีชีอะฮฺที่แท้จริงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เช่น ฮะญัร บุตรของอะดีย์ อบูอัยยูบอันซอรีย์ อะดีย์ บุตรของฮาตัม และคนอื่น ๆ อีกไม่กี่คน อิมามกล่าวถึงพวกเขาว่า มีพวกเขาเพียงคนเดียวเหมือนมีทหารอยู่หนึ่งกองทัพ ส่วนพวกที่เหลือล้วนแล้วแต่ขี้ขลาดตาขาว หลงโลกและความสุขสบาย อิมามเริ่มสงคราม ด้วยเหล่าทหารที่ไม่เอาไหน ซึ่งคาดการณ์ได้ว่า กองทัพของอิมามไปไม่ถึงจุดหมายอย่างแน่นอน
แผนการร้ายของมุอาวิยะฮฺ

มุอาวิยะฮฺ วางแผนการร้ายของตนเพื่อต่อต้านท่านฮะซัน (อ.) เช่นเดียวกับที่ทำในสมัยของท่านอะลี (อ.) จนมีการทำสงครามซิฟฟีน ต่อจากนั้นก็เป็นสงครามนะฮฺรอวาน ด้วยสาเหตุ ที่ว่าเขาต้องการตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ และต้องการยึดครองตำแหน่งนี้ จากเจ้าของตำแหน่งที่ถูกต้องตามหลักศาสนา

แน่นอนประชาชนเลือกท่านฮะซัน (อ.) ขึ้นเป็นเคาะลิฟะฮฺสืบต่อจากท่านอะลี และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของบรรดาผู้ศรัทธา แต่มุอาวิยะฮฺปฏิเสธการให้สั่ตยาบันกับอิมาม และแทนที่เขาจะปฏิบัติตามโดยดี เขากลับส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปในเมืองกูฟะฮฺ และเมืองบัศเราะฮฺ พร้อมกับมอบสินบนไปให้แก่คนบางคน

ท่านฮะซันพยายามขัดขวางแผนการร้ายของมุอาวิยะฮฺ ยิ่งกว่านั้นท่านยังลงโทษประหารชีวิตพวกสอดแนมอีกด้วย แล้วส่งสาส์นกลับไปยังมุอาวิยะฮฺ โดยได้เตือนให้เขาระวังตัว หากยังอยู่ในความบิดพลิ้วอยู่อีกต่อไป ใจความจดหมายมีว่า “นอกจากนี้แล้ว ขอแจ้งให้ทราบว่าตามที่ท่านได้ส่งพวกสอดแนมไปหาฉันนั้น เหมือนกับว่าท่านชอบในการจะเผชิญหน้าไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์”

เตรียมการเพื่อทำสงคราม

มุอาวิยะฮฺได้ส่งทหารของพวกตนบุกเข้าโจมตีถึงใจกลางเมืองมุสลิม และได้ปล้นสะดมทรัพย์สินต่าง ๆ ไป จึงเป็นหน้าที่ของท่านฮะซัน (อ.) ที่ต้องคัดค้านการรุกรานของฝ่ายศัตรู และเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม ดังนั้น  ท่านจึงกล่าวคำปราศรัยต่อประชาชนว่า

“นอกจากนี้แล้ว จะขอกล่าวว่า แท้จริงพระเจ้าทรงกำหนด เรื่อการต่อสู้เสียสละแก่ปวงบ่าวของพระองค์ และทรงให้ชื่อเรียกแก่มันว่า สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่หลังจากนั้นทรงมีดำรัสว่า “พวกเจ้าจงอดทนเถิด แท้จริงพระเจ้า ทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทน” ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านมิอาจจะบรรลุถึงสิ่งที่พวกท่านชื่นชอบได้ นอกจากด้วยความอดทนต่อสิ่งที่พวกท่านรังเกียจ พวกท่านจงออกไปรบกับข้าศึกของพวกท่าน ที่นะคีละฮฺ กันเถิดแล้วพระเจ้าจะทรงเมตตาต่อพวกท่าน”

แต่เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง เมื่อความหวาดกลัวได้เข้าครอบงำจิตใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาแชเชือนในการตอบรับเรื่องการสงคราม

ด้วยเหตุนี้เอง อะดีย์ บุตร ฮาติม อัฏฏออี สหายคนหนึ่งของท่านฮะซัน (อ.) ได้ประกาศต่อประชาชนด้วยความขุ่นเคืองต่อการบิดพลิ้วของพวกเขาว่า

“ข้าพเจ้า อะดีย บุตรของฮาติม ขอประกาศว่า ในนามของพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง ฉันเกลียดชังพฤติกรรมเช่นนี้เหลือเกิน ทำไมพวกท่านจึงไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของอิมามของพวกท่าน ผู้ซึ่งเป็นบุตรของฟาฏิมะฮฺ บุตรีของศาสดาของพวกท่าน ไปไหนเสียแล้วหรือ นักพูดชาวอียิปต์ที่การพูดของพวกเขาเหมือนกับมีพรสวรรค์ในยามพาที ครั้นเมื่อถึงยามตีทัพจับศึก พวกเขาจะราวีดุจดังเจ้าหมาป่า ทำไมหนอพวกท่านจึงไม่เกรงกลัวการลงทัณฑ์ของพระเจ้า”

หลังจากนั้นเขาก็ขี่ม้าออกไปเผชิญหน้ากับข้าศึกที่นะคีละฮฺทันที บรรดาผู้สนับสนุนอิมาม และปฏิตามคำบัญชาของท่านบางคน ได้ลุกขึ้นกล่าวให้กำลังใจแก่ประชาชน เพื่อให้เตรียมพร้อมในการต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺ จนสามารถรวบรวมทหารได้ 12,000 คน อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ “อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของ อับบาส” ซึ่งมุอาวิยะฮฺได้สังหารบุตรชายเล็ก ๆ ของเขาสองคนก่อนหน้านั้นในการรบครั้งหนึ่ง

แต่ในบรรดาทหารของท่านฮะซัน (อ.) นั้น ส่วนมากมีแต่คนที่ลุ่มหลงกับผลประโยชน์ทางโลก ดังนั้น จึงเป็นง่ายสำหรับมุอาวิยะฮฺ ที่จะใช้เงินทองซื้อพวกเขาไว้ และเขาได้กระทำเช่นนั้นจริง เหล่าบรรดาแม่ทัพจึงหนีทัพไปอยู่กับกองทัพของมุอาวิยะฮฺในยามราตรีอันมืดสนิท

ยิ่งกว่านั้น มุอาวิยะฮฺยังสามารถติดสินบน “อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของ อับบาส” แม่ทัพของอิมามฮะซันได้สำเร็จ  ด้วยเงินจำนวน 1,000,000 ดิรฮัม ดังนั้น เขาจึงไปเข้ากับฝ่ายมุอาวิยะฮฺ โดยทอดทิ้งผู้เป็นทั้งอิมามและเคาะลิฟะฮฺให้อยู่อย่างโดดเดียว

การทรยศหักหลังยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงกับมีบางคนต้องการจะลอบสังหารท่านฮะซัน ซึ่งท่านได้รับบาดแผดฉกรรจ์ที่หน้าแข้ง ท่านฮะซัน (อ.) ตระหนักแล้วว่า เป็นเรื่องลำบากอย่างยิ่งในการต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺ ด้วยทหารที่มีสภาพจิตอ่อนแอ ที่ยอมขายศักดิ์ศรีความเป็นนักรบของตัวเองด้วยราคาเพียงเล็กน้อย

ในทางตรงข้าม มุอาวิยะฮฺได้เสนอการทำสนธิสัญญาสงบศึกกับท่าน โดยท่านจะต้องสละตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ  อิมามรู้ดีว่าหากยังคงต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺต่อไป มีแต่จะทำให้ผู้สนับสนุนท่าน ซึ่งในจำนวนนั้นมีสาวกผู้ซื่อสัตย์จำนวนหนึ่งของท่านศาสดาอยู่ด้วย ต้องพบกับหายนะและความตายอย่างแน่นอน หลังจากนั้นทหารของซีเรียจะเข้ามายึดครองเมืองกูฟะฮฺ เมื่อนั้นเกียรติยศและชื่อเสียง ตลอดจนเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายจะถูกเข่นฆ่า สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้ท่านเลือกเอาการประนีประนอมแทนที่จะก่อการนองเลือดโดยอมรับเงื่อนไขบางประการ
สนธิสัญญา

พวกเคาะวาริจญ์ หรือพวกนอกรีตวางแผนคิดจะลอบสังหารท่านฮะซัน (อ.) โดยมีมุอาวิยะฮฺให้การสนับสนุนอยู่ลับ ๆ เพื่อบีบให้ท่านยอมรับสนธิสัญญา และสละตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ

อิมาม ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับอย่างรุนแรง คล้ายคลึงกับท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ท่านไม่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจากต้องทำสนธิสัญญาสงบศึกเพียงประการเดียว ท่านฮะซัน (อ.) มิได้คิดถึงสิ่งอื่นใด นอกจากผลประโยชน์ของอิสลาม และบรรดามุสลิม และในที่สุดท่านก็ยอมตกลงทำสัญญาสันติภาพเพื่อรักษาเลือดเนื้อและชีวิตของผู้คนไว้ ท่านได้เขียนเงื่อนไขสัญญาพร้อมกับนำไปเสนอแก่มุอาวิยะฮฺ ดังนี้

1. มุอาวิยะฮฺจะต้องปกครองไปตามหลักการในคัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และแบบฉบับของศาสดา (ซ็อล ฯ)

2. มุอาวิยะฮฺต้องไม่แต่งตั้งบุคคลใดเป็นผู้ปกครอง ภายหลังจากเขา นอกจากฮะซัน (อ.) และลูกหลานของอะลี (อ.)

3. จะต้องไม่ตามราวีบรรดาชีอะฮฺของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ไม่ว่าที่ใดก็ตาม

4.จะต้องไม่บริภาษ หมิ่นประมาท สาปแช่ง และด่าทอท่านอะลี (อ.)

5. ต้องไม่ทำอันตรายชีวิต และทรัพย์สินของมุสลิม

6. ฮะซันต้องไม่เรียกมุอาวิยะฮฺว่า “ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของบรรดาผู้ศรัทธา (อมีรุล มุอฺมินีน)

ซึ่งตามสนธิสัญญาดังกล่าว อัลลอฮฺ เราะซูล และบรรดามุสลิมมากมายต่างรู้เห็นเป็นพยานทั้งสิ้น มุอาวิยะฮฺเดินทางมายังกูฟะฮฺ เพื่อลงนามในสัญญาดังกล่าว ซึงขณะนั้นมีมุสลิมจำนวนมากมายเดินทางมายังมัสญิดกูฟะฮฺ

มุอาวิยะฮฺเป็นฝ่ายละเมิดเงื่อนไขสัญญา

ท่านฮะซัน (อ.) เข้าใจดีว่า มุอาวิยะฮฺไม่มีวันจะยึดมั่นในเงื่อนไขสัญญา ดังนั้น ท่านต้องการจะให้ประชาชนรู้ถึงข้อบกพร่องในตัวของมุอาวิยะฮฺ ตลอดจนความเป็นคนที่ไม่เคารพในหลักการศาสนาและสัญญาของเขา

มุอาวิยะฮฺ ได้เดินทางเข้าเมืองกูฟะฮฺ เพื่อลงนามในธิสัญญากับอิมาม เขามายังมัสญิดกูฟะฮฺ ซึ่งวันนั้นมีมุสลิมจำนวนมากมายเดินทางมามัสญิด เมื่อทำสนธิสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว อันดับแรก มุอาวิยะฮฺขึ้นกล่าวคำปราศรัยต่อหน้าประชาชนว่า  “แท้จริงฉันมิได้ต่อสู้กับพวกท่าน เพื่อให้การศีลอด การนมาซ หรือเพื่อการหัจญ์ ฉันรู้ดีว่าพวกท่านก่อสงครามเนื่องจากฉัน เนื่องจากฉันต้องการเป็นผู้ปกครองอาณาจักร ต้องการขจัดอิมามผู้นำของพวกท่าน และพระเจ้าก็เป็นใจกับฉัน แม้ว่าพวกท่านจะไม่พึงพอใจก็ตาม บัดนี้จงรู้ไว้ด้วยว่า เลือดทุกหยดที่หลั่งลงพื้นดินนี้สูญเปล่า และไร้ค่า ทุก ๆ เงื่อนไขสัญญาที่ฉันตกลงกับฮะซัน ไร้ค่า ซึ่งฉันเก็บไว้ใต้ฝ่าเท้าของฉันแล้ว” ด้วยเหตุนี้ สนธิสัญญาที่ฮะซันเขียนขึ้น จึงไม่มีค่าอันใดสำหรับฉัน มันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของฉัน

หลังจากนั้นอิมามฮะซัน (อ.) ได้ขึ้นมิมบัรด้วยดวงตาที่เศร้าหมอง และห่วงใยอาคตของประชาชาติ ท่านกล่าวสุนทพจน์ โดยเริ่มด้วยการสรรเสริญอัลลอฮฺ และศาสดา หลังจากนั้นกล่าวว่า ฉันขอสาบานด้วยพระนามของพระเจ้าว่า ฉันหวังว่าเป็นผู้หวังดีที่สุดในหมู่สรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ฉันไม่เคยคิดอคติกับมุสลิมคนใดแม้แต่เล็กน้อย ไม่เคยขอร้อง และไม่เคยรอคำขอบคุณจากมุสลิมคนใดแม้แต่คนเดียว....หลังจากนั้นอิมามกล่าวว่า มุอาวิยะฮฺคิดว่า ฉันเห็นว่าเขามีความเหมาะสมกับตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺ ส่วนตัวฉันไม่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งแต่อย่างใด เขาพูดโกหก เนื่องจากอัล-กุรอานคัมภีร์แห่งพระเจ้า และคำตัดสินของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ยืนยันว่า พวกเรามีความเหมาะสมกับตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺมากกว่าผู้ใดทั้งหมด แต่หลังจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จากไปพวกเราก็โดนรังแก และได้รับการกดขี่มาโดยตลอด หลังจากนั้นอิมาม กล่าวถึง เหตุการณ์เฆาะดีรคุม และการถูกช่วงชิงตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของท่านอะลี (อ.) อันเป็นสิทธิชอบธรรมของท่าน การหันเหในวันนั้นกลายเป็นสาเหตุให้พวกหิวกระหายลาภยศ และพวกบุตรหลานของเขาเกิดความทยานอยาก หมายถึง มุอาวิยะฮฺ ลูกหลาน และมิตรสหายของเขา

เนื่องจากมุอาวิยะฮฺ จาบจ้วงอิมามอะลี (อ.) ก่อน อิมามฮะซัน (อ.) หลังจากแนะนำตัวเอง และกล่าวยกย่องฐานันดรของตนที่เหนือมุอาวิยะฮฺแล้ว ท่านได้สาปแช่งมุอาวิยะฮฺ ผู้ศรัทธาที่อยู่ ณ ที่นั้น ต่างกล่าว อามีน พร้อมกันต่อหน้ามุอาวิยะฮฺ เราก็ขอกล่าว อามีน ด้วยเช่นกัน

อิมามฮะซัน (อ.) หลังจากนั้นไม่กี่วัน ท่านเตรียมตัวเดินทางกลับมะดีนะฮฺ ขณะที่มุอาวิยะฮฺได้รวบรวมตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺไว้ในอำนาจของตน และเดินทางเข้าอิรักทันที เขากล่าวปราศรัยต่อหน้าประชาชนทั้งหลาย ถึงเงื่อนไขของสนธิสัญญา และการบิดพลิ้วของเขาพร้อมกับเอาสนธิสัญญาไว้ใต้ฝ่าเท้า

มุอาวิยะฮฺได้แต่งตั้ง “อบัยดิลลาฮฺ ผู้ไม่ปรากฏนามบิดา” ขึ้นเป็นผู้ปกครองเมืองกูฟะฮ์ จากนั้นเขาก็กระทำการขับไล่พรรคพวกเขาอะฮฺลุลบัยตฺ ปล้นบ้านเรือน และยึดทรัพย์สินของพวกเขา จับมาลงโทษทรมาน และจับเข้าคุก

ท่านฮะซัน (อ.) ให้ความช่วยเหลือบรรดาผู้ได้รับความไม่เป็นธรรมผู้ถูกกดขี่ และท่านได้คัดค้านการกระทำที่อธรรม และการไม่เคร่งครัดตามเงื่อนไขสัญญาของมุอาวิยะฮฺ อิมามฮะซันดำรงตำแหน่งอยู่นาน 10 ปี ท่ามกลางความโหดร้าย การเมืองที่ป่าเถื่อน ไม่มีความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ในที่สุดมุอาวิยะฮฺวางแผนที่จะกำจัดท่านฮะซัน (อ.) เพื่อตั้ง “ยะซีด” บุตรชายของตนขึ้นเป็นเคาะลิฟะฮฺ ในที่สุดเขาก็ตกลงใจในการใช้ยาพิษเพื่อสังหารหลานของท่านศาสดา

มุอาวิยะฮฺตัดสินใจเลือกนาง “ญุด์ดะฮฺ บินติ อัล อัชอัษ” ภรรยาคนหนึ่งของท่านฮะซัน (อ.) ซึ่งบิดาของนางเป็นคนกลับกลอก โดยได้หลอกนาง ด้วยทรัพย์สินเงินทอง และการสมรสกับยะซีดบุตรชายของตนภายหลังจากสังหารฮะซันแล้ว มารร้ายได้กระซิบกระซาบจิตใจของญุอ์ดะฮฺสำเร็จ นางจึงนำเอายาพิษที่มุอาวิยะฮฺส่งมาใส่ลงใน “อาหารละศีลอด” ของท่านฮะซัน (อ.)

เมื่อท่านฮะซัน รับประทานอาหารละศีลอดเข้าไป ก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนลำไส้ของท่านขาดเป็นชิ้น ๆ ท่านมองที่ใบหน้าของภรรยาแล้วกล่าวว่า “โอ้ ศัตรูของพระเจ้า เจ้าฆ่าฉัน พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าอัปยศและทรงทำให้เขาอัปยศเช่นกัน”

เมื่อมุอาวิยะฮฺหลอกใช้ “นางญุอ์ดะฮฺ” สำเร็จแล้ว ก็ได้ขับไล่นางออกจากวัง แล้วกล่าวกับนางว่า “แท้จริงเราห่วงใยชีวิตของยะซีด” ด้วยเหตุนี้ หญิงคนนั้นจึงขาดทุนทั้งโลกนี้และโลกหน้า และนางได้รับสมญานามว่า “หญิงที่ฆ่าสามีด้วยยาพิษ”

วันที่ 28 เดือน เซาะฟัร ฮิจเราะฮฺที่ 50 ดวงวิญญาณของท่านก็คืนกลับไปสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า เพื่ออุทธรณ์ต่อพระองค์ เกี่ยวกับความอธรรมของวงศ์วานอุมัยยะฮฺ ร่างของท่านได้ถูกนำไปฝังที่สุสานบะกีอฺ ตรงที่ฝังศพของท่านในปัจจุบัน

ขอความสันติสุขพึงมีแด่ฮะซัน (อ.) นับจากวันที่ท่านกำเนิด จนถึงวันที่ท่านพลีชีพ ตราบจนถึงวันที่ท่านฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่

เหล่าภรรยาและบุตรของอิมามฮะซัน (อ.)

บรรดาศัตรูและนักเขียนประวัติศาสตร์ที่ไม่เข้าใจอย่างท่องแท้ ได้เขียนจำนวนภรรยาของท่านอิมาม และเรื่องราวเกี่ยวกับท่านในทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะรับฟังได้ อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับจำนวนภรรยาของท่านประกอบด้วย อุมมุลฮัก บุตรีของ ฏ็อลฮะฮฺ บุตรของอุบัยดิลลาฮฺ ฮับเซาะฮฺ บุตรีของ อับดุรเราะฮฺาน บุตรของอบีบักร์ ฮิน บุตรีซุฮีล บุตรของอุมมัร และญุอฺดะฮฺ บุตรีของอัชอัซ บุตรของเกซ

ประวัติศาสตร์ระบุว่าจำนวนภรรยาของอิมามมี 8 หรือ 10 คน เนื่องมี 2 รายงานที่ขัดแย้งกัน บางรายงานกล่าวว่า อุมมิวะลัด เป็นภรรยาอีกท่านหนึ่งของอิมาม เธอเป็นหญิงรับใช้ ซึ่งมีบุตรกับเจ้านายของตน ดังนั้น หลังจากเจ้านายเสียชีวิตนางจึงได้รับอิสระเนื่องจากมีบุตร

บุตรของอิมาม (อ.) เมื่อนับรวมทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีจำนวน 15 คน ได้แก่ ซัยด์ ฮะซัน อุมัร กอซิม อับดิลลาอฮฺ อับดุรเราะฮฺมาน ฮะซัน อัซรัม ฏ็อลฮะฮฺ อุมมุลฮะซัน อุมมุลฮุซัยนฺ ฟาฏิมะฮฺ อุมมุซัลมะฮฺ รุก็อยยะฮฺ อุมมุอับดิลลาฮฺ และฟาฏิมะฮฺ

เชื้อสายของอิมามฮะซัน คงเหลือแค่บุตรชาย 2 คนคือ ซัยดฺ และฮะซัน ซึ่งบุคคลอื่นถ้าจะนับว่าเป็นเชื้อสายของอิมามถือว่าเป็นเรื่องลำบาก

ขอขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์


source : alhassanain
0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

...
เหตุผลของท่านอิมามฮะซัน (อ.) ...
บทธรรมเทศนาของอิมามริฎอ
ทำไมต้องซัจดะฮฺบนดิน
...
ดุอาประจำวันที่ 17 ...
...
เป้าหมายของการถือศีลอด ...
ค่ำคืนที่ประเสริฐกว่า 1000 เดือน
...

 
user comment