ไทยแลนด์
Thursday 18th of April 2024
0
نفر 0

ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ตอนสุดท้าย

ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ตอนสุดท้าย

อัดล์อิลาฮี 18/2 (ตอนสุดท้าย)

  ดังนั้น มนุษย์พึงตระหนักไว้เถิด สิ่งสามประการดังกล่าวนั้น นอกจากจะทำให้กฎหมายในโลกนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว และเช่นเดียวกันในวันกิยามัตยังถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย ดังนั้นแล้ว จงพิจารณาข้อคิดและบทเรียนอันล้ำค่าดูเถิด โดยเฉพาะเรื่องของชาฟาอัตในวันกิยามัตไม่มีใครเอา สามสิ่งนี้พาไปได้ ไม่มีใครขู่มาลาอิกะฮ์ได้ ไม่มีใครเอาเงินไปยัดติดสินบนให้มาลาอิกะฮ์ได้ ไม่มีใครเอาพวกพ้องไปข่มเหงได้ เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่มีบทบาทต่อเรื่องชาฟาอัตเลย ซึ่งอัลกุรอานยืนยันไว้ในซูเราะฮ์ อัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 48

وَاتَّقُوا يَوْمًا لَّا تَجْزِي نَفْسٌ عَن نَّفْسٍ شَيْئًا وَلَا يُقْبَلُ مِنْهَا شَفَاعَةٌ وَلَا يُؤْخَذُ مِنْهَا عَدْلٌ وَلَا هُمْ يُنصَرُونَ

“จงเกรงกลัววันหนึ่ง วันที่ไม่มีชีวิตใดที่สามารถปกป้องอีกชีวิตหนึ่งได้ ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือใครได้ และวันนั้นการชาฟาอัตการช่วยเหลือจะไม่ถูกยอมรับ และพระองค์ไม่รับการไถ่ถอน ทดแทนและจะไม่มีใครได้รับการช่วยเหลือ”

    โองการนี้เบื้องต้นปฏิเสธชาฟาอัต(อนุเคราะห์)เช่นกัน แต่เป็นการปฏิเสธชาฟาอัตที่ขัดกับความยุติธรรม ชาฟาอัตที่ทำให้กฎหมายอ่อนแอ สิ่งที่ทำให้กฎหมายอ่อนแอนั้นมีอยู่สามประการที่ได้กล่าวไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้ได้ในวันกิยามัต เมื่อใช้ไม่ได้แสดงว่าในวันกิยามัตไม่มีอะไรทำให้กฎหมายหมดความศักดิ์สิทธิ์  ไม่มีสิ่งใดทำให้กฎหมายไม่ยุติธรรม และโองการอีกจำนวนหนึ่งที่ปฏิเสธอิทธิพลของสิ่งเหล่านี้
ซูเราะฮ์ อัชชุอรออ์โองการที่ 88

يَوْمَ لَا يَنْفَعُ مَالٌ وَلَا بَنُون

“ในวันกิยามัตนั้นทรัพย์สินเงินทอง ลูกๆไม่สามารถอำนวยประโยชน์ใดๆได้”

ดังนั้นชาฟาอัตในโลกหน้าไม่ใช่แบบที่มนุษย์เข้าใจในโลกนี้ ชาฟาอัตในวันกิยามัตนั้นเป็นชาฟาอัตที่เป็นบวก และเป็นเรื่องที่ไม่ได้ขัดกับความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า เป็นการอภัยโทษอย่างหนึ่งที่มาจากความเมตตา เป็นความเมตตาที่สูงส่งกว่าความยุติธรรม ซึ่งแน่นอนว่า พระผู้เป็นเจ้าหาทางที่จะอภัยให้กับมนุษย์ในทุกรูปแบบด้วยซ้ำไป

ถ้าเราจะดูจากกฎหมายในโลกนี้ การอภัยโทษกับคนที่กระทำความผิด  สมมุติ คนทำผิดห้าคน คนหนึ่งให้การดีให้ความร่วมมือทั้งๆที่ทำผิด ก็จะถูกศาลนำมากันเป็นพยานเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี อาจจะได้รับการลดโทษด้วย ส่วนคนอื่นที่ถูกกักขังไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่ามันไม่ยุติธรรม เพราะกรณีนี้คนที่ให้การดีเขาไม่ได้ใช้ พรรคพวก เงิน หรืออำนาจเลย แต่เขาได้รับการลดโทษด้วยกับการสำนึกผิดของเขาและพร้อมที่จะให้การให้ความร่วมมือ

ในวันกิยามัตก็เช่นกัน เมื่อพระองค์ทรงเปิดช่องทางของการอภัยโทษ แน่นอนการจะได้รับการอภัยโทษนั้นมีขั้นตอนมีเงื่อนไข มีกฎเกณฑ์ เพราะถ้าไม่มีเงื่อนไขไม่มีกฎเกณฑ์ทุกคนก็จะได้รับหมด ถ้าได้รับทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องมีชาฟาอัต เพราะไม่มีความแตกต่างระหว่างมีชาฟาอัตกับไม่มีชาฟาอัต ซึ่งเงื่อนไขของมันก็คือ ความดี

กรณี มนุษย์ที่ทำผิดที่ไม่มั่นใจว่าได้ชดใช้ไปหมดแล้ว เช่น คนบางคนขาดนมาซมา 20 ปีเตาบัตชดใช้ได้ 18 ปีแต่ตายก่อนเหลืออีกสองปี มีสิทธิ์ที่จะโดนลงโทษ กรณีเช่นนี้เวลาที่จะชดเชยความผิดพลาดก็ไม่มีอีกแล้ว สมมุติ ประตูอภัยบาป มีประตูเดียว คนที่เตาบัตกลับตัวกลับใจแล้วแต่ชดใช้ยังไม่ครบ สิ่งที่ยังไม่ชดใช้จึงมีสิทธิ์ที่จะต้องโดนลงโทษ ฉะนั้น หากประตูอภัยโทษมีประตูเดียว มนุษย์จะประสพความยุ่งยากลำบากเป็นอย่างมาก ทว่าด้วยกับความเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงเปิดประตูแห่งการชาฟาอัตขึ้นมาอีก เปิดโอกาสต้อนรับทุกคน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้เข้าประตูนี้ แต่ทั้งนี้ต้องมีคุณสมบัติที่ดี กล่าวคือ ต้องมีความรัก มีความผูกพันกับบรรดาอะฮฺลุลเบต(อ)

ดังนั้นแล้ว เมื่อใดที่มนุษย์ มีความรัก มีความผูกพันกับบรรดาอะฮฺลุลเบต(อ) แล้ว ประตูนี้จะเปิดต้อนรับ ประตูนี้พร้อมให้ทุกคนที่ทำความรู้จักกับบรรดาอะฮ์ลุลเบต(อ) จะไม่มีใครถูกตัดสิทธิ์นี้เพราะเขาจน จะไม่มีใครถูกตัดสิทธิ์นี้เพราะเขาไม่มีอำนาจ หรือไม่มีพรรคพวก ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับชาฟาอัตจากอะฮ์ลุลเบต(อ)

จะเห็นได้ว่า เงื่อนไขเบื้องต้น ต้องทำความรู้จักและมีความรักต่ออะฮ์ลุลเบต(อ)อย่างแท้จริง ซึ่งมีรากฐานมาจากอัลกุรอานจากความประสงค์ของท่านศาสดามูฮัมมัด(ศ) ในซูเราะฮ์ อัชชูรอ โองการที่ 23

قُل لَّا أَسْأَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا إِلَّا الْمَوَدَّةَ فِي الْقُرْبَىٰ

“จงกล่าวเถิดมูฮัมมัดฉันไม่ขอสิ่งใดในการเผยแพร่ศาสนา นอกจากให้มีความรักต่อบรรดาเครือญาติสนิท(อะฮ์ลุลเบต)ของฉัน”

แต่ถ้าหากมนุษย์ไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะโวยวายหรือตัดพ้อว่า มันไม่ยุติธรรม เพราะอัลกุรอานได้เสนอแนวทางในการรอดพ้น เสนอหนทางไห้มนุษย์ได้รับการชาฟาอัต(อนุเคราะห์)ไว้แล้ว

   คำถามที่เป็นข้อสงสัยเล็กๆอีกประการหนึ่ง คือ ถ้าพระผู้เป็นเจ้ายุติธรรม ทำไมมนุษย์จำนวนหนึ่งได้เกิดมาเป็นมุสลิม และอีกจำนวนหนึ่งไม่ได้เกิดมาเป็นมุสลิม

    คำตอบสั้นๆคือ ไม่มีมนุษย์คนใดได้ขึ้นสวรรค์เพราะเป็นมุสลิมตั้งแต่กำเนิด มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์ก็ต่อเมื่อวิถีชีวิตของเขาดำเนินอยู่ในหลักการอิสลามอย่างแท้จริง และไม่มีใครตกนรกเพราะเขาไม่ได้เป็นมุสลิมมาตั้งแต่กำเนิด

พระผู้เป็นเจ้าทรงชี้นำมนุษย์ทุกคนเหมือนกัน โดยการใส่ฟิตรัต ฟิตรัตสามัญสำนึก สัญชาติญาณด้านในในการแสวงหาสัจธรรม ในการแสวงหาพระองค์ และธรรมชาติดั้งเดิมในการเคารพภักดีพระองค์ไว้ในตัวของมนุษย์ทุกคนแล้ว

ซึ่งในความเป็นจริงจะเห็นว่า มีคนจำนวนมากที่ไม่ได้เป็นมุสลิมตั้งแต่กำเนิด เมื่อเขาได้เข้ารับอิสลามได้เป็นมุสลิมในภายหลัง คนที่ไม่ได้เป็นมุสลิมตั้งแต่กำเนิดนั้น เขาเพียงอาจจะสูญเสียโอกาสไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาในการทำความดีหรืออื่นๆ ทว่าเมื่อเขาเข้ารับอิสลามแล้ว แน่นอนว่าเขาจะได้รับการทดแทน กล่าวคือ ความผิดบาปก่อนหน้าทั้งหมดของเขาจะถูกลบล้าง และเขาจะสะอาดบริสุทธิ์เปรียบประดุจดังทารกที่เกิดใหม่

CR:สถาบันศึกษาศาสนาอัลมะฮ์ดี(อ)

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

คุณค่าของการเศาะลาวาต
หมายเหตุการเข้ารับอิสลาม ...
...
การพลี” สูงสุดของการพิสูจน์ ...
...
...
อิมามมะฮ์ดี (อ.) ...
ไชฏอนศึกษา บทเรียนครั้งที่ 4/3 ...
ฮิญาบในอิสลาม
ท่านหญิงซัยนับ บินอะลี ...

 
user comment