ไทยแลนด์
Friday 29th of March 2024
0
نفر 0

ทำไมมุสลิมจึงเป็นศัตรูกับชาติพันธุ์ยิว?

ทำไมมุสลิมจึงเป็นศัตรูกับชาติพันธุ์ยิว?

ทำไมมุสลิมจึงเป็นศัตรูกับชาติพันธุ์ยิว
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานคือทางนำแห่งมนุษยชาติจวบจนวันสิ้นโลก ประเด็นจึงอยู่ที่อัลกุรอานเล่นนี้นำทางมนุษยชาติตรงไหน? อะไรที่เป็นปัญหาของมนุษยชาติ? อะไรที่มวลมนุษยชาติควรรู้? อัลกุรอานสามารถรับใช้มนุษยชาติได้ในทุกรูปแบบ แต่มนุษย์เองกลับไม่สนใจที่จะศึกษาอัลกุรอานนั่นคือปัญหาหลัก

ปัญหาของโลก ปัญหาความปลอดภัย ปัญหาการก่อการร้าย ปัญหาความมั่นคงของมนุษยชาติทำไมมนุษยชาติไม่คิดบ้างว่าในพระมหาคัมภีร์อัล กุรอานมีคำตอบของปัญหานี้? ในวันนี้โลกกำลังหาทางออกว่า จะทำอย่างไรให้โลกใบนี้มีสันติภาพ?

อัลกุรอานได้บอกรากเหง้าแห่งความปั่นป่วนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว อัลกุรอานได้เตือนมนุษยชาติที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม ให้เห็นอันตรายของมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งบางครั้งจะพูดถึงพวกเขา ในนามของ บนีอิสรออีลโดยตรง หรือในนามของ ชาวคัมภีร์

และทุกครั้งเมื่อเอ่ยถึงนามเหล่านี้พระเจ้าจะทรงแจ้งแนวคิด และทัศนะคติของบุคคลกลุ่มนี้เอาไว้ทุกครั้ง แผนการร้าย อุดมการณ์อันชั่วร้าย และอาชญากรรมต่างๆที่พวกเขาสร้างมาตลอดหน้าประวัติศาตร์อันยาวนาน และจะยังคงมีต่อไป อัลกุรอานบอกไว้อย่างละเอียดยิบ



อัลกุรอานเกือบสองร้อยโองการประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์พูดถึงแต่เรื่องที่ไม่ดีของพวกเขา และมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่พูดถึงเรื่องดีของพวกเขา นี่คือความมหัศจรรย์หนึ่งของอัลกุรอาน ในที่นี้จะขอยกมาเพียงบางโองการเพื่อให้เราได้ทราบว่า ทำไมมุสลิมจึงต้องเป็นศัตรูกับยิว



ในบทอาลิอิมรอน โองการที่ 181 พระองค์ทรงตรัสว่า "พระเจ้าทรงได้ยินในคำพูดของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้บอกว่า แท้จริงพระเจ้านั้นยากจน พวกเราต่างหากที่ร่ำรวย" มนุษย์พวกนี้มีความอหังการถึงขั้นที่คิดว่าพวกเขานั้นร่ำรวยกว่าพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีความหยิ่งยะโสในความยิ่งใหญ่ทางเศษฐกิจของพวกเขา

การที่พระเจ้าได้ประทานโองการนี้มา ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าพวกเขานั้นมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า บนีอิสรออีลหรือชาวยิวนั้นจริงๆ แล้วเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า

ในโองการต่อมาพระเจ้าทรงตรัสว่า "จงจำไว้ ฉันจะบันทึกในสิ่งที่พวกเจ้าพูด" หมายความว่าคำพูดนี้ของพวกเขาจะต้องได้รับโทษ โองการนี้ประทานลงมาครั้งเมื่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) อยู่ในนครมะดีนะฮ์ และหมายถึงพวกยิวที่อยู่ในมะดีนะฮ์

พระองค์ยังได้ทรงตรัสต่อไปอีกว่า "และจะบันทึกในการที่พวกเจ้าได้ฆ่าบรรดาศาสดาโดยอธรรม"

ตรงนี้แปลกมากๆ เนื่องจากว่าบนีอิสรออีลหรือชาวยิวในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ไม่มีการฆ่าศาสดาแล้ว แต่ที่พระองค์จะจดบันทึกนั่นหมายถึงชาวยิวในยุคก่อนๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดา แต่ด้วยเหตุใดพระเจ้าจึงบอกว่า ข้าจะจดบันทึกคำพูดของเจ้า ที่เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ และเราจะจดบันทึกในสิ่งที่พวกเจ้าได้เข่นฆ่าบรรดาศาสดา

โองการต่อมาพระเจ้าทรงตรัสว่า "และวันนั้นเมื่อการลงโทษมาถึง เราก็จะบอกกับพวกเจ้าว่า จงลิ้มรสการลงโทษการเผาไหม้ที่แสนเจ็บปวด"

แสดงว่ายิวในยุคนี้จะถูกลงโทษสองอย่างคือ หนึ่งคำพูดที่พวกเขาบอกว่า พวกเขาร่ำรวยกว่าพระเจ้า สองจะถูกลงโทษที่เขาเข่นฆ่าบรรดาศาสดา ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาไม่ได้ฆ่าศาสดาแล้วในยุคนี้?

คำตอบอยู่ในวจนะหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) "ประชาชาติหนึ่งประชาชาติใดก็ตามที่มีความพึงพอใจในการกระทำของบรรพชนของพวกเขา เขาจะต้องรับโทษนั้นด้วย"

ฉะนั้นหากพวกเขาไม่ได้กระทำ และไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้นพวกเขาก็จะไม่ถูกลงโทษ ในประเด็นนี้แม้พวกเขาไม่ได้ฆ่าจริง แต่พวกเขาเห็นด้วย พวกเขาถือว่าบรรพชนของพวกเขาทำถูกต้องแล้วที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดา

จากโองการนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดของบรรดาพวกยิว ว่าพวกยิวจะมีความคิดเหมือนกันหมดทุกยุคทุกสมัย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง บรรดาบรรพชนของพวกเขาได้ฆ่าบรรดาศาสดาของพระองค์อย่างมากมาย



และพวกยิวในวันนี้ต่างพึงพอใจในการกระทำอันนั้น พระเจ้าจึงรวมพวกเขาด้วยกันในวันแห่งการลงโทษ แสดงให้เห็นว่าแม้เวลาจะผ่านพ้นมานับพันๆ ปี แนวความคิดพวกยิวจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอนพระเจ้าก็จะไม่ทรงลงโทษพวกเขาพร้อมๆกัน



ในอัลกุรอานบทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ 87 พระเจ้าทรงตรัสว่า "ทุกครั้งที่มีศาสดามายังพวกเขา ซึ่งพวกเขาไม่พึงพอใจ พวกเขาจะกระทำการอหังการใส่ในทันที กลุ่มหนึ่งจะปฏิเสธบรรดาศาสดาเหล่านั้น และศาสดาอีกกลุ่มหนึ่งจะถูกพวกเขาฆ่าเสีย"

ชาวยิวในสมัยนั้นเมื่อมีศาสดามาสั่งสอนพวกเขา แต่ทว่าสิ่งที่ศาสดาสั่งสอนนั้นขัดกับความคิดของพวกเขา ขัดกับระบบเศรษฐกิจของพวกเขา ขัดกับความเชื่อของพวกเขา เราได้กล่าวไปแล้วว่า พวกนี้ไม่ได้มีความเชื่อเพียงว่าพวกเขาสูงส่งกว่ามนุษย์ทุกคนเท่านั้น แต่พวกเขายังเชื่อว่าพวกเขาสูงส่งกว่าพระเจ้าเสียอีก

ความน่ากลัวของบุคคลที่บอกว่าสูงส่งกว่ามนุษย์คนอื่นมันก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่มนุษย์ที่คิดว่าเขาสูงส่งกว่าพระเจ้ามันจะร้ายกาจสักขนาดไหน?

ในบางรายงานกล่าวว่า พวกยิวเคยฆ่าบรรดาศาสดานับร้อยคนในคืนเดียว และในรุ่งเช้าพวกเขาก็เปิดตลาดทำการค้ากันอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลย และนี่แหละคือคุณลักษณะหนึ่งของชนชาติยิว

อีก โองการหนึ่งในบทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ 88 เมื่อมีศาสดามาเตือนพวกเขา ให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือความเชื่อ พวกเขาได้กล่าวว่า "หัวใจของเราได้ปิดผนึกแล้ว"

หมายถึงพวกเขาจะไม่รับฟังอะไรอีกแล้ว และพวกเขาจะพูดสิ่งนี้กับศาสดาทุกคนที่มาสั่งสอนพวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า "หัวใจของพวกเราใส่กุญแจแล้ว ไม่เปิดรับสิ่งเหล่านี้"

และพระเจ้าได้ทรงตรัสว่า "จริงๆแล้วหัวใจของพวกเขานั้นไม่ได้ปิด แต่พระเจ้าทรงสาปแช่งการปฏิสธการเนรคุณของพวกเขาต่างหาก" พวกนี้เป็นประชาชาติเดียวที่พระเจ้าสาปแช่งอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาจะไม่ฟังสิ่งใด พวกเขามีอุดมคติเป็นของตัวเอง

อีกโองการอยู่ในบท อาลิอิมรอน โองการที่ 75 "ในหมู่ชาวคัมภีร์บางคนนั้น ถ้าพวกเจ้าไว้วางใจพวกเขาโดยที่เอาทรัพย์สมบัติจำนวนมากไปฝากไว้กับพวกเขา พวกเขาก็จะคืนให้กับเจ้า แต่บางกลุ่มจากพวกเขา ถ้าพวกเจ้าไปฝากไว้เพียงหนึ่งดีนาร พวกเขาก็จะไม่คืนให้กับพวกเจ้า จนกว่าพวกเจ้าจะลุกขึ้นสู้กับพวกเขา พวกเขาจึงจะคืนให้"

ในโองการนี้นัก วิชาการได้อรรถาธิบายเอาไว้ว่า ในกลุ่มแรกนั้นเป็นชาวคริสเตียนที่เป็นคนซื่อสัตย์ ส่วนกลุ่มที่สองหมายถึงพวกบะนีอิสรออีลหรือพวกยิว พระเจ้าได้ตรัสต่อไปว่า เพราะเขาถือว่า "อุมมียีน" ทั้งหลายนั้นไม่มีสิทธิใดๆ เหนือพวกเขา อุมมียีน

ในโองกานี้ที่พวกบะนี อิสรออีลหมายถึง คือมนุษยชาติทั้งหมด เพราะยิวถือว่ามนุษย์คนอื่นทั้งหมดคือพวกโง่เขลา ซึ่งในทฤษฎีทางการเมืองของไซออนิสต์ถือว่า คนที่ไม่ใช่ยิว ทั้งหมดคือ "โกยิม" คือฝูงวัวที่โง่เขลาบ้าคลั่ง พวกเขามีความเชื่อว่ามนุษย์อื่นๆ นั้นไม่มีสิทธิใดๆ เหนือพวกเขา นี่คือแนวคิดยิวไซออนิสต์ ซึ่งอัลกุรอานได้กล่าวว่า "และพวกเขาได้กล่าวเท็จไปยังพระเจ้าอย่างมากมาย"

การที่พวกยิวกล่าว ว่าพวกเขาร่ำรวยกว่าพระเจ้านั้น ไม่ใช่พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า แต่ก็ยังกล่าวเท็จต่อพระเจ้าในขณะที่เขารู้ว่าเขากล่าวเท็จต่อพระเจ้า

บุคคลเหล่านี้มีแนวความคิดที่ว่า ไม่ว่าทรัพย์สินหรือชีวิตมนุษย์ของมนุษย์คนใด ไม่มีค่า และไม่มีสิทธิใดๆ เหนือพวกเขา พระเจ้าต้องการชี้ให้เห็นว่านี่คือความคิดของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังคิดอยู่ กับมนุษย์แบบนี้ ดังนั้นปัญหาคือเราไม่กลับไปดูในอัลกุรอาน หากเรากลับไปศึกษาเราจะรู้ได้ทันทีว่าผู้ก่อการร้ายคือใคร?? มุสลิมไม่ได้กลับไป อ่านอัลกุรอาน จึงไม่ทราบว่า พระองค์ทรงห้ามบรรดาผู้ศรัทธาว่า อย่าได้เอาพวกยิวมาเป็นมิตร มุสลิมมัวแต่ไปพึ่งสหประชาชาติ

หารู้ไม่ว่าสหประชาชาติคือเป็นที่รวมของบรรดายิวและคริสเตียน ผู้ที่มีสิทธิในการวีโต้ทุกมติของสหประชาชาติ ทั้งสี่ชาติคือคริสเตียน ที่พร้อมจะสนับสนุนยิวอยู่เสมอ

ดังนั้นปัญหาของ ปาเลสไตน์จะไม่สามารถหวังอะไรได้จากเหล่าคริสเตียน เพราะพระองค์ทรงตรัสไว้แล้วว่า พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน พวกเขาร่วมกันปล้นแล้วมาแบ่งกันกิน

มุสลิมที่คิดว่าอำนาจของคริสเตียนที่อยู่ในสหประชาชาติจะสามารถช่วยในการที่จะรบกับยิวได้ มุสลิมเหล่านั้นก็จะเป็นพวกพ้องของคริสเตียนและยิว

และพระองค์ทรงตรัสว่า พระองค์จะไม่ทรงนำทางผู้กดขี่ ดังนั้ผู้กดขี่ที่ถูกกล่าวในอัลกุรอานนี้มีอยู่ด้วยกันสามพวกคือ

พวกยิวโจรปล้นชาติผู้อื่น พวกคริสเตียนซึ่งแอบสนันสนุนอยู่เบื้องหลัง พวกมุสลิมที่ไปหวังพึ่งพาพวกนี้ ทั้งสองพวกท้ายสุดก็กลายเป็นผู้กดขี่ไปโดยปริยาย ทั้งหมดจะไม่มีวันได้รับทางนำ

อีกโองการที่ได้นำ เสนอแนวคิดของคนพวกนี้ กล่าวคือ สหประชาชาติเองประกาศว่าลัทธิไซออนิสต์เป็นลัทธิแบ่งแยกเหยียดหยามสีผิว

ดังนั้นเมื่อประเทศใดก็ตามที่มีการปกครองแบบนั้นก็ไม่ควรถูกยอมรับว่าเป็นประเทศ แต่ในทางตรงกันข้ามสหประชาชาติกลับยอมรับอิสรออีลเป็นประเทศ

พวกยิวชั่วร้าย ขนาดไหน อัลกุรอานได้กล่าวว่า บรรดายิวได้พูดว่า "เรามัดมือของพระเจ้าและตัดมือของพระองค์" พวกเขากล้าพูดถึงขนาดนั้น

นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่กลัวมนุษย์คนใด แม้กระทั่งพระเจ้าเขาก็ยังไม่กลัว แต่พระองค์ทรงตอบว่า "มือของพวกเจ้านั่นแหละที่จะต้องพินาศ ข้าขอสาปแช่งในสิ่งที่พวกเขาพูด"

พระเจ้ายังได้ทรง ตรัสเตือนมนุษยชาติว่า "จงรู้ไว้เถิดว่า พวกนี้เป็นพวกที่เคียดแค้นชิงชัง พวกที่เป็นศัตรูกับผู้ศัทธามากที่สุด คือพวกยิว และบรรดาพวกที่ตั้งภาคี"

ดังนั้นความเป็นศรัตรูกับอิสลามนั้นมีอยู่มากมาย และสุดโต่ง ณ วันนี้ปัญหาปาเลสไตน์ไม่ใช่ปัญหาของชาวกาซ่า ไม่ใช่ปัญหาของประชาชนชาวปาเลสไตน์ แต่เป็นปัญหาของมวลมุสลิมทั่วทั้งโลก และเป็นปัญหาของมนุษยชาติ เพราะหากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที ก็จะลุกลามกลายเป็นปัญหาของมนุษยชาติ

อีกโองการพระองค์ ทรงตรัสว่า "ยิวและคริสเตียนนั้นจะไม่มีวันพึงพอใจกับพวกเจ้าดอก" ชีวิตของคนจำนวนมากในวันนี้คือชีวิต ที่พวกยิวและคริสเตียนร่วมกันสร้างให้เดิน ตั้งแต่เรื่องที่เล็กน้อยที่สุดในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า การแต่งกาย อาหารการกิน สิ่งต่างๆที่มาจากทีวี และภาพยนต์ ไปจนถึงเรื่องของอุดมการณ์

สามารถกล่าวได้ว่าวันนี้มนุษยชาติกำลังเดินตามยิวและคริสเตียน แต่เห็นหรือไม่ว่าพวกเขาเพียงพอหรือยัง? วจนะหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ที่ได้กล่าวว่า "ต่อให้ตามพวกยิวและคริสเตียนแม้กระทั่งตามลงรูแย้ พวกเขาก็ยังไม่พึงพอใจ" ฉะนั้นไม่ว่ามุสลิมจะทำอย่างไรยิวและคริสเตียนก็ไม่มีวันที่จะพึงพอใจ

วันนี้คิดหรือว่า หากเรามอบมัสยิดอัลอักศอ ให้พวกมันแล้วพวกมันจะเพียงพอ อย่าได้คิดเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงตรัสแล้วในอัลกุรอาน พวกเขาก็จะยังไม่เพียงพอ วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็จะไปบุกมักกะฮ์ มะดีนะฮ์ อีกจนกระทั่งยึดประเทศ พวกเขาจะไม่หยุด แล้วหากถามว่าเมื่อไหร่ล่ะที่พวกเขาจะหยุด?

คำตอบคือก็ต่อเมื่อเรานั้นตามศาสนาของพวกเขา แต่อย่าคิดนะว่าพวกมันจะพึงพอใจอีก ยังครับ มันอนุญาติให้เราตามศาสนาของพวกมัน แต่มันไม่อนุญาติให้เป็นชาวยิวเหมือนพวกมัน และที่พวกมันอนุญาติคือให้เราเป็นทาสรับใช้พวกมัน เพราะศาสนาของพวกเขาสอนว่า "มนุษย์คือทาสรับใช้ยิว"

พระเจ้าต้องการที่ จะชี้ให้เห็นว่า พวกยิวจะไม่มีวันพึงพอใจ จนกว่าพวกเราจะไปเป็นทาสของพวกมัน นี่คือสิ่งที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้บอกถึงคุณลักษณะของพวกยิวเอาไว้




ขอขอบคุณเว็บไซต์ อะฮ์ลุลบัยต์ อคาเดมี (ประเทศไทย)

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

อัลกุรอาน ...
...
ยุทธวิธี การขับเคลื่อน ...
รู้จัก “วีรชนแห่งกัรบะลาอฺ” ...
ท่านอนที่ดีที่สุดในอิสลาม
...
ดุอาประจำวันที่ 26 ...
ประเภทของเตาฮีด
ความจำเป็นในการแสวงหาศาสนา
การชำระตนจากบาปด้วยการอิบาดะฮ์

 
user comment