ไทยแลนด์
Thursday 28th of March 2024
0
نفر 0

อิมามญะอฺฟัรกับวิทยาศาสตร์

อิมามญะอฺฟัรกับวิทยาศาสตร์

อิมามญะอฺฟัร ศอดิก(อ.) ปรมาจารย์แห่งวิทยาศาสตร์
อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) เป็นอิมามท่านที่หกจากจำนวนอิมามสิบสองท่านของมุสลิมนิกายชีอะฮ์ เป็นอิมามที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวางทั้งในหมู่มุสลิมชีอะฮ์และ ซุนนีในด้านความรู้ และความเคร่งครัดของท่าน อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (ผู้มีสัจจะ) เป็นอาจารย์ผู้ทรงอิทธิพล มีบุคลิกเคร่งครัด คงแก่เรียน ท่านเป็นอิมาม, เป็นนักปราชญ์เทวนิยม, นักกฎหมาย, นักเขียน, นักวิชาการอิสลาม เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ ทั้งคณิตศาสตร์, ดาราศาสตร์, เคมี, ฟิสิกส์, กายวิภาค ท่านยังเป็นครูของญาบิร อิบนฺ ฮัยยาน หรือ เจเบอร์ นักเคมีผู้มีชื่อเสียง และเป็นครูของอบูฮานีฟะฮฺ และมาลิก อิบนฺ อานัส ผู้ก่อตั้งมัษฮับฮานาฟี และมาลิกี ของพี่น้องมุสลิมซุนนีด้วย ในด้านการเมือง ท่านถูกจับกุมคุมขัง และถูกกลั่นแกล้งในหลายโอกาสโดยกาหลิบราชวงศ์อับบาสิด

อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) ประสูติที่เมืองมะดีนะฮ์ เมื่อวันที่ 17 รอบิอุล-เอาวัล ปีฮ.ศ.82 (ค.ศ.702) บิดาของท่านคืออิมามที่ห้า อิมามมุฮัมมัด บากิร (อ.) และมารดาของท่านชื่ออุมมุ ฟัรวะฮ์

ความรู้ของอิมามญะอฺฟัร ศอดิก(อ.)
อิมามมุฮัมมัด บากิร (อ.) และอิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ) รู้ดีว่าในสังคมของมุสลิมนั้นจะเต็มไปด้วยหนังสือของนักปรัชญาชาวกรีก และอเล็กซานเดรีย และชาวมุสลิมก็จะยอมรับทุกอย่างที่คนเหล่านั้นเขียนไว้อย่างงมงายราวกับเป็น สัจธรรมจากพระคัมภีร์ ด้วยเหตุนี้ ทฤษฎีที่ผิดพลาด และหลอกลวงจะเข้ามาอยู่ในจินตนาการของพวกเขา ทำให้เกิดความเสียหายต่อจิตใจ และทำให้พวกเขาตกอยู่ในความมืดมิดมาหลายศตวรรษ ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในอดีต ยกตัวอย่างเช่น ทฤษฎีของปโตเลมีที่ว่า "โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล และดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ ต่างก็โคจรรอบโลก" เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในหมู่มุสลิมว่าเป็นความจริง

อิมามทั้งสองจึงได้ อธิบายให้ลูกศิษย์องพวกท่านได้รู้ทฤษฎีของนักปรัชญาเหล่านั้น และชี้ให้พวกเขาเห็นถึงความผิดพลาด และแสดงทฤษฎีที่ถูกต้องของพวกท่านให้ลูกศิษย์ได้รู้ ซึ่งพวกเขาจะได้ไปเผยแพร่คำสอนของพวกท่านให้แก่ชาวมุสลิม พร้อมกันนั้น พวกท่านยังได้สอนวิชาฟิสิกส์ เคมี ภูมิศาสตร์ และอื่นๆ ซึ่งวิชาเหล่านี้มีอยู่ในฉบับแปลจากภาษาอินเดีย กรีก และเปอร์เซีย มาเป็นภาษาอาหรับ เพราะพวกท่านเป็นอิมาม (ตัวแทนของอัลลอฮฺบนหน้าแผ่นดิน) พวกท่านจึงมีความรู้ในทฤษฎีของนักปรัชญากรีก และอื่นๆ

โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
เมื่ออายุ 11 ปี อิมามได้คัดค้านทฤษฎีของปโตเลมีที่ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อื่นๆ โคจรรอบโลก ปโตเลมีกล่าวว่า "ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวในสองรูปแบบ รูปแบบที่หนึ่งนั้นมันเดินทางผ่านกลุ่มดาวจักรราศี และโคจรรอบโลกในหนึ่งปี และอีกรูปแบบหนึ่งคือมันเดินทางรอบโลกในหนึ่งคืนหนึ่งวัน ซึ่งทำให้เราเห็นมันขึ้นทางตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก" อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) ได้แย้งว่า "ถ้าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก ระหว่างเส้นทางมันต้องผ่านหมู่ดาว 12 กลุ่มในหนึ่งปี และอยู่ในหมู่ดาวแต่ละกลุ่มเป็นเวลา 30 วัน แล้วทำไมเราจึงไม่เห็นมันในเวลากลางคืน มันควรจะมองเห็นได้ในหมู่ดาวแต่ละกลุ่มเป็นเวลา 30 วันด้วย"

อิมาม (อ.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "การเคลื่อนตัวทั้งสองรูปแบบนี้เข้ากันไม่ได้ ถ้าดวงอาทิตย์ต้องผ่านกลุ่มดาวจักรราศี 12 กลุ่มในรอบหนึ่งปี และต้องอยู่ในแต่ละกลุ่มดาวเป็นเวลา 30 วัน แล้วมันจะเปลี่ยนการโคจรมาหมุนรอบโลกในเวลา 24 ชั่วโมงได้อย่างไร?
อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) ยังประกาศอีกว่า โลกหมุนรอบตัวของมันเอง แต่โพอินแคร์ นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 20 ยังเห็นว่าทฤษฎีนี้เป็นเรื่องตลก แล้วคนในศตวรรษที่ 1 หรือ 2 ของปีฮิจเราะฮฺ จะเชื่อทฤษฎีของอิมามได้อย่างไร การหมุนรอบตัวเองของโลกพิสูจน์พบได้จากการสังเกตเท่านั้น เมื่อนักบินอวกาศลงสู่พื้นผิวของดวงจันทร์ และตั้งกล้องโทรทรรศน์มายังโลก พวกเขาจึงสังเกตเห็นว่ามันกำลังหมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ

น่าเศร้าที่ ประชาชนกล่าวว่าท่านอิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) เพียงแต่คาดเดาเอาเท่านั้น ว่าโลกหมุนรอบตัวเอง พวกเขาจึงให้ความเชื่อถือในการค้นพบว่าโลกเคลื่อนตัวหมุนรอบดวงอาทิตย์ แก่โคเปอร์นิคุส นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 15 และยกให้กาลิเลโอผู้คิดค้นกล้องโทรทรรศน์ว่าเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีโลกหมุนรอบตัวเอง

ทฤษฎีแห่งธาตุทั้งสี่
เมื่ออายุ 12 ปี ท่านได้ปฏิเสธทฤษฎีธาตุทั้งสี่ของอริสโตเติล และพิสูจน์ว่ามันเป็นทฤษฎีที่ผิดพลาด ท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า "ฉันแปลกใจว่าคนอย่างอริสโตเติลพูดได้อย่างไรว่าในโลกนี้มีเพียงสี่ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ ดินไม่ใช่ธาตุ แต่มันบรรจุธาตุต่างๆ ไว้หลายชนิด โลหะแต่ละชนิดที่อยู่ในดินก็คือธาตุแต่ละอย่างนั่นเอง"

เป็นเวลากว่า 1,000 ปีที่ทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับ และเป็นหลักอย่างหนึ่งในด้านฟิสิกส์ อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) ได้พิสูจน์ว่า น้ำ ลม และไฟ ก็ไม่ใช่ธาตุด้วยเช่นกัน แต่มันเป็นการผสมกันของธาตุต่างหาก ท่านได้กล่าวไว้เช่นนี้เมื่อ 1,100 ปีก่อนที่นักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรปจะค้นพบว่าอากาศไม่ใช่ธาตุ และได้แยกองค์ประกอบของมัน การจะรู้ได้ว่าอากาศไม่ใช่ธาตุ แต่เป็นการผสมรวมของธาตุ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสรุปลงได้ในยุคสมัยของท่านอิมาม แต่ท่านได้กล่าวไว้ว่า ในอากาศมีธาตุมากมายหลายชนิด และธาตุทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการหายใจ"

จนกระทั่งในศตวรรษที่ 18 นี้เอง ที่ลาวอยซิเออร์ได้แยกออกซิเจนออกจากอากาศ และอธิบายว่ามันมีบทบาทสำคัญในการหายใจ และกระบวนการเผาไหม้ แต่พวกเขาก็ยังมีความเห็นว่าธาตุอื่นๆ ในอากาศไม่มีบทบาทในการหายใจ จนนักวิทยาศาสตร์ในยุคกลางของศตวรรษที่ 19 ได้เปลี่ยนทัศนะของพวกเขาโดยการพิสูจน์ว่า ถึงแม้ออกซิเจนจะช่วยในการฟอกเลือด แต่มันก็เป็นตัวทำการเผาไหม้ด้วยเช่นกัน ถ้าสิ่งมีชีวิตหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปอย่างเดียวมันจะไม่สามารถอยู่รอดได้ และที่ออกซิเจนไม่ทำอันตรายแก่สิ่งมีชีวิตก็เพราะมันผสมกับก๊าสอื่นๆ อื่น เพราะฉะนั้นก๊าซออื่นๆ จึงมีความจำเป็นสำหรับการหายใจด้วยเช่นกัน

ในที่สุด หลังจากผ่านไปมากกว่า 1,000 ปี ทฤษฎีของอิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) ที่ว่าการมีอยู่ของก๊าซทั้งหมดในอากาศนั้นล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการหายใจ ก็ได้รับพิสูจน์แล้วว่าเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง ท่านเป็นบุคคลแรกที่เปิดเผยว่าออกซิเจนผลิตสภาพความเป็นกรด ท่านเป็นผู้บุกเบิก และผู้นำในการศึกษาวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับออกซิเจน

กำเนิดจักรวาล
ทฤษฎีที่น่าอัศจรรย์ อีกอย่างหนึ่งของท่านอิมามคือทฤษฎีที่เกี่ยวกับ "กำเนิดของจักรวาล" เมื่อนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้อ่านทฤษฎีนี้ พวกเขาได้รับรองว่ามันสอดคล้องตรงกันกับทฤษฎีสมัยใหม่ ซึ่งยังไม่ได้เป็นกฎของฟิสิกส์ มันมีความโดดเด่นตรงที่ว่า มันได้ประกาศอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ 12 ศตวรรษที่แล้ว ทฤษฎีของอิมามกล่าวว่า
"จักรวาล เกิดจากอนุภาคเล็กๆ อย่างหนึ่ง ซึ่งมีขั้วที่ตรงข้ามกันสองขั้ว อนุภาคนั้นทำให้เกิดเป็นอะตอม ด้วยวิธีนี้เองที่สสารได้เกิดมีขึ้น จากนั้นสสารก็ถูกทำให้มีอย่างหลากหลาย ความหลากหลายนี้ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นหรือเบาบางของอะตอม"

ประเด็นที่สำคัญที่สุด ในทฤษฎีนี้ก็คือการอธิบายถึงขั้วตรงข้ามทั้งสอง ความสำคัญของประเด็นนี้เพิ่งเป็นที่กระจ่างชชัดเมื่อมีการพิสูจน์ว่ามีขั้ว ตรงข้ามทั้งสองนี้อยู่จริงโดยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ปัจจุบันนี้มันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ในวิทยาศาสตร์อะตอม และอิเล็กตรอน
ทฤษฎีที่น่า สนใจอีกอย่างหนึ่งของท่านคือ ทฤษฎีที่ว่าจักรวาลไม่ได้อยู่ในสภาวะหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในบางช่วงเวลามันขยายตัว และในอีกช่วงมันหดตัว
ปรากฏการณ์นี้นับว่า เป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออยู่หลายศตวรรษ และเป็นทฤษฎีที่นักดาราศาสตร์ชั้นนำยังไม่สามารถเข้าใจได้ หลังจากศตวรรษที่ 18 กล้องโทรทรรศน์ถูกสร้างขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งๆ ขึ้น นักดาราศาสตร์จึงสามารถมองเห็นระบบสุริยจักรวาลได้กว้างไกลยิ่งขึ้น ในปี ค.ศ.1960 นักดาราศาสตร์ได้เฝ้าสังเกต และยืนยันว่าระยะทางระหว่างกาแลกซี่ของเรา และกาแลกซี่ใกล้เคียงกำลังเพิ่มห่างมากยิ่งขึ้น เป็นการพิสูจน์ว่าจักรวาลกำลังขยายตัว และการค้นพบหลุมดำก็ได้พิสูจน์อีกลักษณะหนึ่งของจักรวาลที่ในบางครั้งมันหด ตัว ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าทฤษฎีของอิมามเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ท่านอิมามยัง ได้กล่าวไว้อีกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล รวมถึงวัตถุที่ไม่มีชีวิต กำลังเคลื่อนไหวอยู่เสมอถึงแม้เราจะมองไม่เห็นก็ตาม ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เคลื่อนไหว ทฤษฎีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในสมัยของท่าน ในปัจจุบันมันเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง
ญาบิร บิน ฮัยยาน หรือเจเบอร์ ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่าน เคยถามท่านอิมามว่า "ทำไมการเคลื่อนไหวของดวงดาวจึงไม่ทำให้มันร่วงหล่นลงมา?"
ท่านอิมามตอบว่า "ผูก หินสักห้อนไว้กับเชือกแล้วเหวี่ยงมันไปรอบหัวเธอ หินก้อนนั้นจะยังอยู่ในเชือกตราบเท่าที่เธอทำให้มันหมุนอยู่ แต่เมื่อใดที่เธอหยุดการหมุนนั้น ก้อนหินก็จะร่วงหล่นลงมา เช่นเดียวกันนี้เอง การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของดวงดาวจึงทำให้มันไม่ร่วงหล่นลงมา"

ฟิสิกส์
อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) ได้ทำการเปิดเผยในด้านฟิสิกส์อย่างมากมาย กฎข้อหนึ่งที่ท่านได้ตั้งขึ้นคือ ความทึบ และความโปร่งแสงของวัตถุ ท่านกล่าวว่า วัตถุที่แข็ง และซึมซับได้นั้นเป็นทึบ และวัตถุที่แข็ง และไม่ซึมซับจะโปร่งแสง มากบ้างน้อยบ้าง เมื่อมีผู้ถามถึงสิ่งที่วัตถุทึบซึมซับได้ว่าคืออะไร ท่านตอบว่า "ความร้อน"

การประพันธ์
อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.)ได้ให้คำนิยามคำว่า "การประพันธ์" ไว้ว่า "การประพันธ์ คืออาภรณ์ที่ผู้ประพันธ์จะสวมใส่ในสิ่งที่เขาพูดหรือเขียน ซึ่งอาจทำให้มันดูน่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น" ท่านกล่าวอีกว่า "เป็นไปได้ที่การประพันธ์จะปราศจากความรู้ แต่ไม่มีความรู้ใดที่ไม่มีการประพันธ์ ความรู้ทุกประเภทล้วนมีการประพันธ์ แต่ในทุกประเภทของการประพันธ์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ เป็นการให้คำจำกัดความของความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ และการประพันธ์ที่กระชับ และได้ใจความอย่างแท้จริง"

องค์ประกอบของร่างกายมนุษย์
ท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อ.) ยังกล่าวอีกว่า "เมื่อร่างกายของมนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาจากดิน ฉะนั้นสิ่งใดที่มีอยู่ในดิน ก็มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ด้วยเช่นกัน แต่ปริมาณของธาตุทั้งหมดมีสัดส่วนที่ไม่เหมือนกัน ธาตุสี่ชนิดมีอยู่ในปริมาณที่มาก คือ ออกซิเจน คาร์บอน ไฮโดรเจน และไนโตรเจน ธาตุอีกแปดชนิดมีในปริมาณน้อย คือแมกนีเซียม โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส กัมมะถัน เหล็ก และคลอไรน์ และธาตุอีกแปดชนิดมีในปริมาณที่น้อยมาก คือ โมลิบดีนัม, โคบอลต์, แมงกานีส, ทองแดง, สังกะสี, ฟลูออไรน์, ซิลิคอน และ ไอโอดีน"

ทฤษฎีดังกล่าว เพิ่งได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องในศตวรรษที่ 18 โดยการผ่าพิสูจน์ร่างกายมนุษย์

วิทยาศาสตร์และปรัชญา
อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) เป็นบุคคลแรกในโลกที่ได้แยกวิชาวิทยาศาสตร์ออกจากวิชาปรัชญา ท่านได้ตั้งข้อสังเกต และชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสองสาขาวิชานี้ ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้นักปรัชญาจำนวนมาก ท่านกล่าวไว้สองส่วนคือ
ส่วนที่หนึ่ง "วิทยาศาสตร์และปรัชญาคือสองวิชาที่แตกต่างกัน วิทยาศาสตร์ให้ผลที่แน่นอน และถูกต้องแม่นยำแก่เรา ถึงแม้ว่ามันจะเล็ก และไม่สำคัญ แต่ปรัชญาไม่มีจุดมุ่งหมายในทางปฏิบัติและไม่ให้ผลที่ใช้การได้"
ส่วนที่สอง "อย่างไรก็ตาม การค้นพบสัจธรรมที่แท้จริงเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของวิทยาศาสตร์ แต่มันอยู่ในขอบเขตของปรัชญา"
นอกจากนี้อิมามญะอฺฟัร ศอดิก (อ.) ยังได้เป็นผู้บุกเบิก และเปิดเผยทางด้านศาสตร์ต่างๆ อีกมากมาย เช่น การเปิดเผยไฮโดรเจน-แยกธาตุไฮโดรเจนออกจากน้ำ, ทฤษฎีของแสง-การตกกระทบของแสงบนวัตถุที่สะท้อนเข้าตามนุษย์ทำให้เกิดการมอง เห็น, ทฤษฎีการติดต่อของโรคจากรังสี, ทฤษฎีของสสารและปฏิสสาร-ความแตกต่างของขั้วบวกและขั้วลบของโปรตอนและ อิเล็กตรอนในสสารและปฏิสสาร, ทฤษฎีของแสงและดวงดาว-มีดวงฤกษ์อื่นๆ ที่สุกสว่างกว่าดวงอาทิตย์หลายเท่า และมีโลกอื่นๆ ที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่อีกนอกเหนือจากโลกของเรา, ทฤษฎีมลภาวะทำลายสิ่งแวดล้อม-เมื่อสิ่งแวดล้อมเกิดมลพิษ สิ่งมีชีวิตไม่อาจดำรงอยู่ได้

เมื่อมาถึงตรงนี้ จะยังต้องสงสัยอีกไหม ว่าวิชาการความรู้เหล่านี้ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อ.) ผู้ที่กล่าวว่า เราคือทายาทผู้บริสุทธิ์ ทายาททางความรู้ของศาสดามุฮัมมัด (ศ.)
ท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อ.) คืออิมามคนที่หก จากจำนวน 12 ท่านของผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ตามความเชื่อของมุสลิมแนวทางอิมามียะฮ์ญะฟะรียะฮ์ เราจึงจะเห็นได้ว่า มุสลิมอิมามียะฮ์มีความภาคภูมิใจต่อผู้นำของพวกเขาเป็นอย่างมาก หนึ่งจากบุคคลเหล่านั้น คืออิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อ.) ปรมาจารย์แห่งวิทยาศาสตร์

ท่านมีฉายานามอีกหนึ่ง คือ "บิดาแห่งศรัทธาชน" และท่านได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 เชาวาล ฮ.ศ.148 (14 ธันวาคม ค.ศ.765) โดยการลอบวางยาพิษของกาหลิบมันซูรฺ ท่านถูกฝังในสุสานอัล-บากีอฺที่นครมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอาราเบียปัจจุบัน



ขอขอบคุณเว็บไซต์ อะห์ลุลบัยต์อคาเดมี (ประเทศไทย)

(ทางเว็บไซต์อัลฮะซะนัยน์ได้ปรับเนื้อหาคำแปลบางส่วน)

0
0% (نفر 0)
 
نظر شما در مورد این مطلب ؟
 
امتیاز شما به این مطلب ؟
اشتراک گذاری در شبکه های اجتماعی:

latest article

...
ดุอาประจำวันที่ 17 ...
...
เป้าหมายของการถือศีลอด ...
ค่ำคืนที่ประเสริฐกว่า 1000 เดือน
...
เตาฮีด ...
วิธีการรู้จักอิมาม
...
ความเชื่อต่ออิมามมะฮ์ดี (อ)คือ ...

 
user comment